017: นิยาย System ที่ไม่ใช้ System
จนถึงตอนนี้ผมก็ยังอ่านนิยายอยู่ และเป็นการอ่านแบบโหดคืออ่านรวดเดียวสองร้อยถึงสามร้อยตอน การอ่านนิยายต่อเนื่องรวดเดียวเช่นนี้ทำให้สมองไม่มีเวลาพักตัว แต่ก็ทำให้เห็นปัญหาในนิยายได้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะนิยายที่ผมชอบอ่านคือนิยายระบบหรือ System ที่มีความสามารถพิเศษคล้ายระบบของเกมมาเกี่ยวข้อง
ระบบเกมเป็นแนวนิยายที่เป็นที่นิยายแนวหนึ่ง แต่ในหมวดระบบเองก็ยังมีแตกย่อยลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นระบบ Entertainment ที่มีแนวเรื่องคล้าย ๆ กันคือตัวเอกไปเกิดใหม่ในโลกอื่นแล้วมีระบบให้รางวัลเป็นบทเพลงในโลกนี้ เมื่อตัวเองได้รับรางวัลเป็นเพลงที่โด่งดังมีชื่อเสียงและคนนิยายในโลกนี้ ก็สามารถแจ้งเกิดในโลกอื่นได้ นอกจากเพลงแล้วก็อาจจะมีบทภาพยนตร์ นิยาย โฆษณา แล้วแต่ว่าผู้แต่งต้องการให้ตัวละครมีความสุดยอดมาแค่ไหน
นอกจากระบบ Entertainment แล้วก็ยังมีระบบนักสืบ ระบบฉีกหน้า ระบบประมง ระบบเกษตรรวมถึงอื่น ๆ อีกมากมาย
การที่ได้อ่านนิยายเช่นนี้เป็นจำนวนมากก็ทำให้ผมได้เข้าใจความรู้สึกของนักอ่านที่อ่านนิยายของผมและมองหา นิยายดี ๆ อ่าน นิยายแต่ละเรื่องที่ผมเลือกมาอ่านจะมีความยาวอย่างน้อย 300 ตอนขึ้นไป ผมอ่านต่อเนื่องไปได้ 100-200 ตอนแล้วก็เจอกับปัญหาเดิม ๆ แต่ในบล็อกนี้ผมจะพูดถึงปัญหาอย่างหนึ่งเป็นพิเศษ
นิยาย System ที่ไม่จำเป็นต้องมี System
ผมได้อ่านนิยาย Game Making System ที่เป็นนิยายเกี่ยวกับการทำเกม ระบบจะให้รางวัลตัวเอกเป็นเกมที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น Resident Evil, Counter Strike, Final Fantasy แล้วตัวเอกก็จะทำเกมนี้ออกมาขาย คนเล่นในอีกโลกหนึ่งก็จะตื่นเต้นตกใจชื่นชมยินดีเทิดทูนว่าตัวเอกในเรื่องมีความสามารถเหลือล้ำ ซึ่งความเป็นจริงก็คงจะเป็นเช่นนั้น แต่เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้จบลงและเริ่มต้นใหม่ด้วยเกมใหม่แล้วเนื้อเรื่องก็เปลี่ยนเป็นซ้ำซาก
สรุปก็คือถ้าหากตัวละครในนิยายไม่มีความโดดเด่นมากจนอยากให้ติดตามตัวละครแล้วในนิยายก็แทบจะไม่มีอย่างอื่นเลย ไม่มีความท้าทายเพราะตัวเอกได้ของที่ให้มาพร้อมใช้งาน รับประกันว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะต้องยอดเยี่ยมเป็นที่นิยม การคงอยู่ของ System กลายเป็นกระเป๋าของวิเศษของโดราเอมอน
นึกถึงว่าตัวเอกเป็นคนจน ปมเรื่องคือต้องทำตัวเองให้รวย แต่มีบัตรเอทีเอ็มไม่สิ้นสุดที่กดเงินมาใช้เท่าไรก็ได้ ที่เปลี่ยนไปก็คือตำแหน่งตู้เอทีเอ็มว่าจะกดจากตรงไหน กล่าวได้ว่าไม่มีปมในเรื่อง เมื่อตัวเอกไม่ต้องเผชิญกับความยากลำบากใด ๆ แล้วผมก็ไม่รู้จะเอาใจช่วยตัวเอกไปเพื่ออะไร เพราะรู้อยู่แล้วว่าปัญหาจะต้องแก้ไขได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่ารสนิยมของคนอ่านแต่ละคนก็ต้องต่างกันไป ตัวผมเองก็มีรสนิยมที่แตกต่างไปจากคนอื่น ๆ บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าผมชอบตัวเอกที่ต้องดิ้นรนพยายามเพื่อแก้ปัญหาที่ตัวเองประสบ เมื่อได้เห็นการแก้ปัญหาง่าย ๆ เช่นนี้แล้วมันก็อดเหนื่อยหน่ายไม่ได้
วัยของผมก็คงจะมีส่วนเกี่ยวข้องในรสนิยมของผมเอง อายุมากแล้วก็ไม่ค่อยจะดื่มด่ำกับอะไรที่มัน Over Power เหมือนตอนอายุยังน้อย ตอนนี้เลยมองหาแต่อะไรที่มันแปลกใหม่ อะไรที่อ่านแล้วให้ความรู้สึกว่า “ว้าว คิดได้ยังไง” อะไรทำนองนั้น