Funfic

Chapter 2: อพยพ | Machinegun Mage

2025-01-03

ใช้เวลาเดินไม่นานต้นไม้ในป่าโปร่งก็บางตาลง ตอไม้ของต้นไม้ที่ถูกตัดมีให้เห็นประปราย แต่โดยรวมยังถือว่าเป็นป่าเพราะพุ่มไม้เล็ก ๆ และหญ้าสูงยังขึ้นติดกันแน่นไม่มีร่องรอยถนนทางเดิน หรือถ้ามีก็ขาดคนย่างกรายจนถูกป่ากลืนกิน แม้กิจจะไม่มีความรู้เกี่ยวกับประเภทพืชพรรณในโลกเดิม แต่ความรู้สึกเคยชินก็บอกให้เขาทราบว่าป่าไม้ที่เขาเดินผ่านไม่ใช่ป่าในโลกเดิม ไม่ว่าจะเป็นสีหรือรูปร่างของกิ่งใบ แต่สิ่งที่เด่นชัดที่สุดก็คือกลิ่นของป่าที่โดดเด่น กลิ่นหอม กลิ่นฉุน กลิ่นเหม็น ตัวเขาที่ไม่ใช่คนเดินป่าสามารถแยกออกได้ด้วยตนเอง

ความรู้สึกของกิจในตอนนี้มีทั้งคาดหวังลังเลและกังวลผสมปนกัน ความกังวลเกี่ยวกับอนาคตว่าต่อไปจะเป็นเช่นไร คนในโลกนี้จะมีรูปร่างหน้าตาเช่นเดียวกับเขาไหม จะถูกกีดกันต่อต้านหรือไม่ ความคาดหวังเกี่ยวกับพลังพิเศษที่ตนเองจะได้รับ พลังออร่าในโลกนี้เป็นอย่างไร ถ้าเขามีพลังนี้แล้วจะใช้ทำเรื่องที่น่าสนใจได้แค่ไหน

การตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องใช้ความคิดอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ กับคนธรรมดาที่หางานทำกินเงินเดือนเช่นกิจ

เมื่อสายตาของเขาพบปะกับคนสามคนที่เดินบนทางเดินดินห่างไปยี่สิบกว่าเมตรหัวใจกิจก็เต้นแรงขึ้นในทันที นี่เป็นการเผชิญหน้ากับคนในโลกนี้ครั้งแรกของเขา ความจริงแล้วต่อให้เป็นในโลกเดิม การเจอคนในป่าก็ทำให้คนทั่วไปเกิดความระแวงสงสัยได้เช่นกัน เพียงแต่ระดับความตื่นตระหนกเป็นกังวลนั้นอยู่คนละระดับกับที่กิจได้รับในตอนนี้ ชายหนุ่มบีบกำปั้นแน่นและกลืนน้ำลายอย่างไม่รู้ตัว

เทียบกับกิจที่หน้าตาเปื้อนคราบไคลแล้วผู้อพยพเหล่านี้มีความอิดโรยซ้อนทับอีกชั้นหนึ่ง การย่างเท้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเมื่อยล้าด้านชาเหมือนเดินทางอย่างต่อเนื่องมาแล้วหลายสิบกิโลเมตร

สายตาของคนที่เดินเป็นกลุ่มสองสามคนมองดูกิจไม่มีความแตกตื่นไม่เป็นมิตร ที่พอจะสัมผัสได้ก็คือความประหลาดใจเหมือนเห็นของแปลกที่หาได้ยากแต่ไม่ถึงกับไม่เคยได้ยิน กิจเคยเห็นสายตาแบบนี้จากคนที่มองดูรถแต่งแปลกตาซึ่งไม่ได้เห็นบ่อย ๆ ตามท้องถนน

สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือคนเหล่านี้ไม่มีรถลากสัมภาระอย่างที่ผู้อพยพใช้ขนของเดินทางไกล กระเป๋าสะพายเป็นสิ่งปกติธรรมดาที่แทบทุกคนมีติดตัว ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่เด็กหรือคนแก่มีกระเป๋าสะพายหลัง สะพายข้าง สะพายหน้าหรือทั้งสามอย่างห้อยซ้อนทับกัน จำนวนคนที่เดินไล่ ๆ กันมาดูแล้วคล้ายกลุ่มคนที่ลงจากรถไฟหรือเครื่องบินพร้อมสัมภาระเดินไล่กันตามทางเดินออกจากสถานีรถไฟหรือสนามบิน

กิจเลือกตำแหน่งระหว่างคนสองกลุ่มเดินแทรกเข้าไป ทิ้งระยะห่างหน้าหลังจากคนทั้งสองกลุ่มประมาณสิบเมตร นอกจากเสียงพูดคุยพึมพำเบา ๆ ระหว่างคนในกลุ่มแล้วไม่มีใครแสดงปฏิกิริยารุนแรงต่อการเข้าร่วมขบวนเดินทางของเขา เหมือนกับว่าการที่คนแปลกหน้าเข้าร่วมขบวนอพยพเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด

เมื่อเห็นว่าตนเองสามารถร่วมขบวนเดินในกลุ่มได้อย่างไม่มีปัญหาแล้วกิจก็ระบายลมหายใจโล่งอก ความกังวลที่เหมือนหินก้อนใหญ่ถ่วงหนักอยู่ในใจหลุดหล่นลงพื้นสลายหายไป การก้าวเท้าเดินไม่หนักถ่วงตึงเครียดเช่นเมื่อครู่

ระหว่างที่เดินร่วมขบวนผู้อพยพกิจก็เงี่ยหูฟังเสียงพูดคุยของคนเหล่านี้และพบว่าเขาสามารถเข้าใจภาษาลาดาได้อย่างที่บัญชาบอกจริง ๆ เป็นความเข้าใจเหมือนมีระบบแปลภาษาอัตโนมัติเป็นภาษาไทยในสมอง คำบางคำที่ไม่สามารถใช้คำศัพท์ภาษาไทยแทนความหมายได้ชัดเจนมากพอถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษทั้งทัพศัพท์และเป็นภาษาอังกฤษตรง ๆ ถ้าหากเป็นคำที่ไม่ได้ใช้ในภาษาไทยอย่างแพร่หลาย

นอกจากภาษาลาดาแล้วยังมีภาษาพาราฟินที่ผู้อพยพพูดกันประปราย กิจทดลองพูดด้วยภาษาลาดาและภาษาพาราฟินและพบว่าเขาสามารถพูดทั้งสองภาษาได้อย่างคล่องแคล่วไม่ติดขัด แต่ในสมองจะมีความรู้สึกของช่องว่างระหว่างภาษาไทยและภาษาทั้งสองที่ต้องผ่านการทำงานของตัวแปลภาษา ความรู้สึกนี้แผ่วจางลงเมื่อเขาฟังและพูดทั้งสองภาษาอย่างต่อเนื่อง ถ้าหากเขาใช้ภาษาทั้งสองเป็นประจำ เขามั่นใจว่าความรู้สึกแบ่งแยกนี้จะหายไปในที่สุด

นอกจากภาษาพูดแล้วกิจยังสังเกตมองดูลักษณะภายนอกของคนรอบตัว สิ่งที่เห็นได้ชัดแม้จะมีเสื้อผ้าและสัมภาระรัดตัวก็คือร่างกายที่ผอมบางต่างจากตัวเขาที่กำยำเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ความจริงแล้วจะกล่าวว่าผอมบางก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะคนส่วนใหญ่ก็มีกล้ามเนื้อได้สัดส่วน แต่เท่าที่เขามองเห็น กล้ามเนื้อของทุก ๆ คนเป็นกล้ามเนื้อแบบเดียวกับคนที่ไม่ได้ใช้แรงงานหนักเป็นประจำ

กิจบีบกล้ามเนื้อต้นแขนของตนเพื่อความมั่นใจ นาโนบอตในตัวเขาปรับสภาพร่างกายจนกำยำมากกว่าเดิม เป็นกล้ามเนื้อแบบนักมวยที่ฝึกซ้อมทุกวัน ไม่ใช่กล้ามของคนเพาะกายที่มีขนาดใหญ่กว่า

นอกจากร่างกายผอมบางแล้วสีผมสีตาของคนเหล่านี้ก็มีความหลากหลาย แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีโทนเข้มที่ขยายออกจากสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม ไม่ใช่สีที่โดดเด่นแตกต่างมาก ๆ อย่างเช่นสีเงิน สีทอง

เครื่องแต่งกายของผู้อพยพมีความแตกต่างจากเสื้อผ้ายุคใหม่ในโลกเดิมของกิจ ในโลกเดิมของกิจ เนื้อผ้าจะเป็นผ้าทออย่างละเอียดจนมองไม่เห็นตาผ้า แต่เสื้อผ้าของคนในโลกนี้จะเป็นผ้าที่มีเส้นใยหนาอัดกันแน่นแทนที่จะเป็นเส้นใยเล็กเหมือนด้าย สายตาของกิจที่ได้รับความสามารถเพิ่มจาก Workshop ในตัวสามารถซูมได้ในระยะหนึ่งจึงมองเห็นรายละเอียดเหล่านี้อย่างไม่มีปัญหา

จนกระทั่งถึงเวลาใกล้ค่ำ กิจไม่ได้เอ่ยปากพูดกับใครแม้แต่คำเดียว และไม่มีใครสนใจจะมาทำความรู้จักกับเขา แต่ละคนตัวใครตัวมันไม่รู้จักกัน ป่าโปร่งก็ยังคงเป็นป่าโปร่ง ทางเดินแคบบ้างกว้างบ้าง บางครั้งก็เป็นทางใหม่ที่เปิดขึ้นโดยผู้อพยพที่เดินทางล่วงหน้าไปก่อน แต่สุดท้ายแล้วทางใหม่ก็จะมาบรรจบรวมกับเส้นทางเดิม

ถึงตอนนี้กิจได้ยินเสียงพูดคุยของผู้คนจากข้างหน้า เป็นเสียงพูดของคนจำนวนมากที่มารวมตัวกัน เมื่อเดินผ่านเนินดินใหญ่เขาก็ได้เห็นลานกว้างประมาณสี่สนามบาสเกตบอลเรียงต่อกัน ผู้อพยพมากกว่าร้อยห้าสิบคนแยกย้ายจับกลุ่มกันตั้งกระโจมที่พัก สามคน ห้าคน หรือเป็นสิบคนยึดครองพื้นที่แบ่งกันไปบนพื้นที่กว้าง

เขาไม่ทราบว่าปลายทางประเทศพาราฟินอยู่ห่างไปเท่าไร สิ่งที่สมเหตุสมผลสำหรับเขาในตอนนี้ก็คือเกาะติดกับขบวนผู้อพยพไปจนกว่าจะถึงเป้าหมาย

เลือกที่นอนในบริเวณขอบนอกระหว่างกลุ่มคนใหญ่สองกลุ่มได้แล้วกิจก็นั่งลงพัก เทียบกับคนอื่น ๆ แล้วสัมภาระของเขามีน้อยกว่า เป็นเพียงกระเป๋าเป้สะพายหลังใบเดียว ของในเป้ก็เพียงแค่ตุง ๆ ก้นกระเป๋า ไม่ได้อัดแน่นจนแทบจะปิดปากกระเป๋าไม่ได้เหมือนผู้อพยพคนอื่น ๆ

จนกระทั่งฟ้ามืด กิจจึงได้พบเห็นความผิดปกติประการหนึ่ง คนในกลุ่มต่าง ๆ ไม่มีใครหาฟืนมาก่อนไฟอย่างที่น่าจะเป็น แต่ละกลุ่มจะมีเตาไฟเป็นของตัวเองในกลุ่มอย่างน้อยหนึ่งเตา กลุ่มใหญ่ก็จะมีหลายเตามากกว่า ตัวเตาไฟจะมีความหลากหลายทั้งในด้านรูปร่าง สีสันและวัสดุ ที่น่าสนใจก็คือเตาของคนบางกลุ่มที่ดูเหมือนทำจากไม้แต่สามารถใช้จุดถ่านได้โดยที่เตาไม่ลุกติดไฟ เขาสังเกตเห็นว่าเตาไฟของคนบางกลุ่มจะมีควันในขณะที่กลุ่มอื่น ๆ ไม่มีควัน หมายความว่าพวกเขาใช้ถ่านต่างชนิดกัน

ตัวเตาไฟก็ดูเหมือนกระถางมากกว่าเตาถ่านอย่างในโลกเดิมของกิจ ด้านบนของเตามีหม้อที่วางปิดทับตัวได้สนิทพอดี ไม่มีช่องเปิดในเตาเพื่อรับออกซิเจนในการเผาไหม้ แต่มีฝาเลื่อนหรือฝาพับสำหรับเปิดเติมถ่าน อาหารจะทำการปรุงในหม้อบนเตาซึ่งปิดฝาแน่นสนิท

สำหรับแสงสว่าง ทุกกลุ่มจะมีของคล้าย ๆ กันคือขาตั้งสูงประมาณหนึ่งเมตรซึ่งยืดหดได้เหมือนขาไมค์หรือขาตั้งกล้อง ปลายบนสุดมีผลึกยึดติดไว้ในเบ้าเหมือนหัวคทาเวทมนตร์ในหนังหรือการ์ตูน ผลึกที่มีขนาดตั้งแต่ถ่าน AAA ไปจนถึงขวดสเปรย์พ่นสี ผลึกเหล่านี้เปล่งแสงออกมาหลากสีตามแต่ชนิดของผลึกซึ่งมีสีต่างกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นสีขาวหรือสีเหลืองอมแดงอบอุ่น

กิจจับตาดูการใช้งานของผลึกส่องแสงเห็นว่าการเปิดใช้งานจะเป็นการบิดหมุนตัวขาตั้ง บิดขั้วจับผลึกหรือกดปุ่มเหมือนสวิตช์ไฟ นี่เป็นสิ่งที่ใกล้เคียงกับเวทมนตร์มากที่สุดที่กิจเคยเห็นในชีวิตนี้ นอกจากผลึกแบบขาตั้งที่ให้แสงสว่างมากที่สุดแล้วยังมีผลึกขนาดเล็กที่ทำงานเหมือนตะเกียงติดตัวผู้อพยพหลายคน คนที่หาไม้จากในป่ามาเสียบลงดินแล้วห้อยตะเกียงผลึกส่องแสงก็มี

กิจไม่มีแหล่งแสงสว่างติดตัวแต่ไม่มีปัญหาอะไรเพราะจุดที่เขาอยู่เป็นจุดระหว่างคนกลุ่มใหญ่สองกลุ่ม แสงสว่างจากคนทั้งสองกลุ่มมีมากพอใช้งานสำหรับเขาที่ไม่มีกิจกรรมอะไรต้องทำ

เขายังสังเกตเห็นอีกว่าผู้อพยพหลายคนกอดอกลูบแขนเหมือนกับว่าอากาศรอบตัวเย็นจัด แต่เขาไม่รู้สึกว่าค่ำคืนในโลกนี้มีความเย็นมากกว่าโลกเดิม ที่สำคัญ แมลงที่บินตอมรบกวนคนอื่น ๆ ก็ไม่ย่างกรายมาตอมกัดเขา อย่างมากก็บินมาใกล้ ๆ แล้วก็บินผ่านไป

กิจได้แต่คิดว่านี่คงเป็นความแตกต่างระหว่างตัวเขาและคนในโลกนี้ เพียงแต่ไม่ทราบว่ากลไกที่ก่อให้เกิดความแตกต่างระหว่างตัวเขาและคนในโลกนี้คืออะไร แต่จะต้องเกี่ยวกับพลังออร่าอย่างแน่นอน

เมื่อมีคนจำนวนมากมารวมตัวกัน การพูดคุยระหว่างกลุ่มคนเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ผู้อพยพกลุ่มหนึ่งเดินทางไปยังกลุ่มอื่น ๆ เพื่อสอบถามแลกเปลี่ยนข่าวสารข้อมูลระหว่างพักผ่อนหรือทำอาหาร

กิจนอนหนุนกระเป๋าเหมือนไม่สนใจรอบข้าง แต่ความจริงแล้วเขาเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ พยายามเก็บข้อมูลเกี่ยวกับโลกนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

จากการเก็บข้อมูล กิจทราบว่าประเทศลาดาถูกสัตว์ออร่าจู่โจม บุกทะลวงจากชายแดนด้านที่ติดเขตป่าโบราณจนถึงเมืองหลวงรวดเดียว ออร่ามาสเตอร์จำนวนมากถูกสัตว์ออร่าไล่ล่ากินเป็นอาหาร จากปากของคนเหล่านี้ กิจทราบว่าออร่ามาสเตอร์คือผู้ที่มีความสามารถในการควบคุมออร่าในตัวซึ่งแยกขยายออกไปได้หลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็นนักเวทที่แปรพลังออร่าเป็นเวทมนตร์โจมตีศัตรู ยันต์มาสเตอร์ที่ผนึกพลังออร่าลงยันต์หลายรูปแบบผ่านสื่อชนิดต่าง ๆ เพื่อใช้งานในภายหลัง จอมยุทธเวทที่ใช้พลังออร่าเสริมความสามารถในการต่อสู้ด้วยร่างกายตัวเอง นักเชิดหุ่นที่ควบคุมหุ่นเชิดอย่างเช่นโกเลมเพื่อต่อสู้แทนตนเอง

เนื้อหาในการพูดคุยของคนเหล่านี้คือประสบการณ์ที่ได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าออร่ามาสเตอร์ทั้งหลายถูกสัตว์ออร่าเล่นงานอย่างไร โดยปกติแล้วสัตว์ออร่าคืออาหารของออร่ามาสเตอร์ แต่ในทางกลับกัน ออร่ามาสเตอร์ก็เป็นอาหารของสัตว์ออร่าเช่นกัน แล้วแต่ว่าผู้ใดจะแข็งแกร่งกว่า

กิจยังทราบอีกว่าคนธรรมดาในโลกนี้ก็มีพลังออร่าในตัว แต่ออร่าในตัวคนธรรมดาไม่มีความพิเศษเช่นออร่าในตัวออร่ามาสเตอร์ ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้น ความบริสุทธิ์หรือความหลากหลาย สัตว์ออร่าจึงเลือกที่จะโจมตีออร่ามาสเตอร์แทนที่จะเล่นงานคนธรรมดา เป้าหมายคือออร่าในตัวของออร่ามาสเตอร์ นี่ทำให้คนธรรมดาจำนวนมากเอาตัวรอดจากการโจมตีของสัตว์ออร่าได้สำเร็จ

ถึงแม้ว่าพลังออร่าในตัวคนธรรมดาจะมีเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับออร่ามาสเตอร์ แต่ถ้าหากไม่มีตัวเลือกอย่างออร่ามาสเตอร์แล้วสัตว์ออร่าก็ฆ่าคนธรรมเพื่อกินพลังออร่าเช่นกัน ดังนั้นการอพยพหนีอันตรายจากสัตว์ออร่าจึงเป็นทางเลือกเดียวของคนเหล่านี้

ฟังจากความทุลักทุเลในการหลบหนีจากอันตรายแล้วกิจพอจะประเมินความสามารถของคนเหล่านี้ได้ ถ้าวัดตามความแข็งแกร่งแล้วคนที่มีพลังออร่าในตัวเหล่านี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งไปกว่ากิจแต่อย่างไร กิจอาจจะไม่มีพลังออร่าแต่เขามีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงยิ่งกว่า คนธรรมดาทั่วไปเมื่อผนวกกำลังจากกล้ามเนื้อบวกกับพลังออร่าในตัวแล้วก็เทียบได้กับคนปกติในโลกเดิมของกิจเท่านั้น

มีแต่ออร่ามาสเตอร์จึงสามารถดูดซับพลังออร่าภายนอกเข้าเก็บสะสมไว้ในตัวได้มากกว่าคนธรรมดา ทำให้มีความสามารถพิเศษอย่างเช่นพลังกายที่เหนือกว่า หรือการควบคุมปรับแปรพลังออร่าให้เป็นพลังใช้โจมตีอย่างเช่นเวทมนตร์

“คนที่เดินคนเดียวคนนั้นเป็นคนพิการออร่าบกพร่องใช่มั้ย” กิจหูผึ่งเมื่อได้ยินคนพูดถึงตัวเองในภาษาลาดา

“อืม กูเคยเห็นคนแบบนี้ในเมืองหลวง คนเป็นโรคนี้จะไม่มีพลังออร่าในตัว ถ้าหากเป็นเวลาปกติแล้วคนพวกนี้ก็น่าสงสารอยู่ แต่ตอนนี้กูไม่สงสารเท่าไหร่เพราะพวกเราต้องเดินทางไกล อาหารก็ต้องประหยัดให้กินได้ตลอดทาง ไม่เหมือนคนพวกนี้ที่ไม่ต้องกินอาหารที่มีพลังออร่า จะหาอะไรกินก็ได้ไม่เหมือนพวกเราที่ต้องหาอาหารออร่ากิน”

“แบบนี้ก็ดีสิวะ ไม่ต้องยุ่งยาก”

“มึงคิดตื้น ๆ น่ะสิ อย่างแรกนะ คนที่เป็นโรคนี้จะหาผัวหาเมียไม่ได้ เพราะไม่มีใครอยากให้ลูกตัวเองเกิดมาเป็นคนพิการไม่มีออร่า”

“โรคนี้สืบทอดทางสายเลือดเหรอวะ”

“สมาพันธ์ออร่าประกาศว่าไม่ใช่โรคติดต่อทางสายเลือด แต่มึงจะเสี่ยงมั้ยล่ะ ถ้าหากลูกมึงไม่มีออร่าแล้วจะมีโอกาสได้เป็นออร่ามาสเตอร์มั้ย มึงก็รู้ว่าลูกของออร่ามาสเตอร์มีโอกาสที่จะเป็นออร่ามาสเตอร์มากกว่า”

“จริงของมึง แล้วอย่างอื่นล่ะ”

“เฉพาะอย่างแรกคนก็ไม่ค่อยอยากจะเข้าใกล้แล้ว อีกอย่างก็คือว่าคนพวกนี้จะใช้อุปกรณ์ออร่าไม่ได้ อย่างพวกเครื่องมือเครื่องใช้หรือไม่ก็อาวุธที่ต้องใช้พลังออร่าในการทำงาน ไม่ใช่อย่างที่ออร่ามาสเตอร์ใช้พลังออร่านะ กูหมายถึงการใช้ของใช้ทั่วไป อย่างเช่นเตาไฟออร่า ถ้าหากไม่มีพลังออร่าในตัวช่วยป้องกันตัว ไฟจากออร่าจะเผามือมึงเวลาเปิดฝาเตา หนามต้นไม้บางอย่างที่มีพลังออร่าเคลือบ ถ้าหากไม่มีออร่าในตัวมึงเคลือบผิวหนังกันเอาไว้ ถูกข่วนทีนี่แผลเปิดยาว ที่สำคัญ ยารักษาแผลที่มีขายทั่วไปเป็นยาที่ทำงานกับออร่าในตัวมึง ถ้าไม่มีออร่าในตัวมึง ยารักษาแผลก็ใช้ไม่ได้ มึงต้องใช้ชีวิตแบบระวังตัวสุด ๆ มีดทื่อ ๆ ที่หั่นเนื้อสัตว์ออร่าไม่เข้านี่หั่นเนื้อคนพวกนี้ได้เหมือนหั่นไข่ต้ม”

“เหี้ย น่ากลัวโคตร แล้วไม่มีข้อดีอะไรบ้างเหรอวะ”

“ข้อดีเหรอ มี คนพวกนี้จะไม่กลัวพิษออร่า กูหมายถึงพิษที่ส่งผลกับออร่าในตัวคนโดยเฉพาะ มันแล้วแต่ด้วยนะว่าเป็นพิษแบบไหน พิษที่แรง ๆ ปกติแล้วจะทำลายออร่าในตัวคน แต่คนพวกนี้ไม่มีออร่า พิษออร่าก็เลยทำอะไรไม่ได้ แต่ถ้าหากเป็นพิษที่สร้างความร้อนอย่างพิษตะขาบไฟดำ ต่อให้ไม่มีออร่าเนื้อมึงก็ถูกไฟจากพิษเผาจนไหม้ กูเคยได้ยินว่ามีนักเก็บของป่าในเขตบึงพิษที่เป็นโรคออร่าบกพร่อง นักเก็บของป่าคนนี้เดินหาของในบึงพิษได้แบบสบาย ๆ แต่ถ้าหากเป็นคนธรรมดาอย่างมึงกับกู สูดไอพิษเข้าปอดเฮือกเดียวก็กลับบ้านเก่า”

บทสนทนาระหว่างคนทั้งสองทำให้กิจต้องเหงื่อตก เขานึกถึงเครือไม้พุ่มไม้ข้างทางที่เห็นระหว่างการเดินทางแล้วต้องขนลุกเพราะพุ่มไม้เหล่านี้เต็มไปด้วยหนามแหลม ถ้าหากเขาเดินแหวกพุ่มไม้เหล่านี้โดยไม่ระวังเพราะไม่รู้ล่วงหน้าก็อาจจะถูกหนามไม้ที่มีพลังออร่าแฝงอยู่ภายในกรีดเนื้อเป็นแผลใหญ่ อันตรายถึงชีวิต

เรื่องราวเกี่ยวกับนักเก็บของป่าถูกบันทึกเก็บไว้ในสมองเพราะนี่อาจจะเป็นหนทางในการทำมาหากินของเขาซึ่งเป็นโรคออร่าบกพร่อง

ถึงจะได้ยินเรื่องราวอันน่าหวาดหวั่น แต่ความตื่นเต้นในตัวกิจก็มีมากเทียมกัน โลกใหม่เหนือธรรมชาติให้ความรู้สึกของการท้าทายซึ่งจะว่าไปแล้วก็เหมือนการได้เล่นเกมใหม่ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่น่าสนใจ

ตอนนี้เองที่หน้าต่างข้อมูลของโรงงานฉายบนม่านตาของเขา

กรุณาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเตาออร่าเพิ่มเติม ข้อมูลเกี่ยวกับเตาออร่าอาจจะช่วยให้ Workshop วิเคราะห์สร้างอุปกรณ์ออร่าได้สำเร็จ

กิจซึ่งนอนอยู่ลุกนั่งอย่างกะทันหันทำให้คนรอบข้างหลายคนต้องสะดุ้งและบ่นอุบเมื่อเห็นเขาล้มตัวลงนอนต่อ ไม่มีใครเห็นว่าดวงตาของกิจในตอนนี้เป็นประกาย นี่เป็นตัวนำไปสู่การใช้พลังออร่าตัวแรกที่จับต้องได้ เขาต้องหาข้อมูลเกี่ยวกับเตาออร่าให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้คนส่วนใหญ่เข้ากระโจมนอนกันแล้ว ถ้าหากเขาไปรบกวนสอบถามอาจจะสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นที่ต้องการพักผ่อนหลังเดินทางไกลมาทั้งวัน ดังนั้นกิจจึงตัดสินใจว่าจะทำการสอบถามในวันพรุ่งนี้แทน

ในตอนแรกเขาคิดว่าความตื่นเต้นจะทำให้เขานอนไม่หลับ แต่เอาเข้าจริง ๆ ความตื่นเต้นกลับต่อสู้กับความเมื่อยล้าไม่ไหว เพียงแค่หลับตาไม่กี่อึดใจเขาก็ไม่มีความคิดใดเหลือในสมองให้ตื่นเต้นเป็นกังวลอีก

-+-+-+-+-+-

เสียงคนพูดคุยเก็บของเตรียมตัวเดินทางปลุกกิจให้ลืมตาตื่น คนในลานกว้างขยับตัววุ่นวายตั้งแต่ฟ้าเริ่มสาง ไม่ว่าจะเป็นการพับเก็บกระโจมม้วนมัดเพื่อความสะดวกในการแบกขน การทำอาหาร หรือการพูดคุยเตรียมตัวอื่น ๆ

กิจแอบเปิดขวดน้ำในกระเป๋าแบบไม่ให้ใครเห็นและก้มหน้ามุดลงกระเป๋าใช้หลอดดูดดื่มน้ำ จากนั้นใช้แขนเสื้อชุบน้ำจากขวดน้ำเช็ดหน้าให้สดชื่น อาหารอัดแท่งถูกแกะออกจากซองพลาสติกเคลือบโดยเก็บซองไว้ในกระเป๋า เก็บแท่งอาหารซึ่งไม่เตะตาเอาไว้ในมือ

เช้าวันนี้กิจเห็นว่านอกจากอาหารที่ต้องปรุงในเตาไฟแล้วยังมีอาหารอีกประเภทหนึ่งที่คล้ายลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดลูกอมซึ่งกินได้โดยไม่ต้องผ่านการปรุง จากการเงี่ยหูฟัง กิจจับใจความได้ว่านี่เป็นอาหารออร่าอัดเม็ด มีข้อดีคือขนาดเล็ก พกพาง่าย แต่ข้อเสียคือออร่าภายในดูดซับได้ยาก เทียบไม่ได้กับอาหารที่ปรุงใหม่ การดูดซับออร่าในอาหารเม็ดเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาสำหรับออร่ามาสเตอร์ซึ่งควบคุมออร่าได้ แต่สำหรับคนธรรมดาแล้ว อาหารอัดเม็ดเวอร์ชันด้อยกว่าต้องอาศัยการย่อยและดูดซับอัตโนมัติของตนเท่านั้น

ถึงแม้ว่าคนในโลกนี้จะมีพลังออร่าช่วยเสริมความสามารถทางกาย แต่สารอาหารธรรมดาก็เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีวิต เพียงแต่การกินอาหารที่คล้ายกับอาหารของออร่ามาสเตอร์ทำให้คนธรรมดารู้สึกว่าตนเองเข้าใกล้ออร่ามาสเตอร์มากขึ้น กิจคิดว่านี่ก็เหมือนการกินอาหารหรือใช้เครื่องสำอางแบบเดียวกับคนคนดังหรือคนที่ตนเองนับถือใช้

เนื่องจากคนที่กินอาหารอัดเม็ดบ่นให้คนอื่น ๆ ฟังถึงข้อเสียของอาหารชนิดนี้ทำให้กิจได้ทราบรายละเอียดเกี่ยวกับอาหารเหล่านี้

เมื่อขบวนผู้อพยพออกเดินทาง กิจเลือกเดินใกล้ ๆ กลุ่มคนที่ดูเหมือนจะรู้ทางมากกว่าคนอื่น ๆ หนึ่งในสมาชิกของคนในกลุ่มคือคนที่พูดถึงตัวเขาเมื่อคืนนี้

“อีกสามกิโลเมตรก็จะเข้าเขตเทือกเขา ในภูเขาจะไม่ค่อยมีสัตว์ออร่า แต่จะทางเดินจะลำบากกว่าเส้นทางอื่นเพราะต้องเลียบแนวเขาชัน แต่ก่อนเป็นเส้นทางที่พรานป่าใช้ข้ามเขตแดน” ชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนผู้นำบอกกับคนในกลุ่มเมื่อเดินมาถึงทางแยกจากทางเดินหลักซึ่งแทบจะมองไม่เห็น เขามองดูภูเขาที่มองเห็นได้แต่ไกล ตัวภูเขาไม่สูงมากแต่มีความสูงต่ำกระจัดกระจายเหมือนปลายกิ่งไม้แห้งที่แตกจากการหัก

“พี่ ถ้าเดินตามทางหลักนี่มันจะอ้อมแนวเขาใช่มั้ย” ชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าถาม

“ใช่ ถ้าเดินทางทางหลักจะเสียเวลาอย่างน้อยสิบห้าวัน แต่ทางจะดีกว่าเพราะเป็นทางที่คนใช้เป็นประจำ” ชายวัยกลางคนมองดูผู้อพยพกลุ่มหนึ่งที่เลือกเดินตามทางเดินซึ่งกว้างกว่าในขณะที่พวกเขายืนคุยกันตรงทางแยก

“แล้วทางข้ามเขานี่ใช้เวลากี่วันพี่”

“สามวัน พวกเรายังดีเพราะไม่มีคนแก่หรือว่าคนป่วย คนที่เดินทางลำบากก็ต้องใช้ทางหลัก เสียเวลามากกว่าแต่ปลอดภัยกว่า” เขามองดูสมาชิกในกลุ่มซึ่งผู้ที่มีอายุมากสุดอยู่ที่ประมาณห้าสิบปี อายุน้อยสุดคือสิบสามปี ผู้หญิงสามคนในช่วงสามวัยที่ดูแข็งแรงดี

กิจฟังจากบทสนทานของคนกลุ่มนี้ทราบว่าระยะทางของการเดินทางตัดข้ามเทือกเขาคือสิบห้ากิโลเมตร เมื่อข้ามเขตภูเขาแล้วจึงเดินเท้าต่ออีกห้ากิโลเมตรจึงจะถึงเขต เมืองทรายเหล็ก ซึ่งเป็นเมืองชายแดนในประเทศพาราฟิน

คนกลุ่มนี้เลือกเดินไปตามทางเดินสายเล็กท่ามกลางสายตาประหลาดใจสงสัยของผู้อพยพคนอื่น ๆ เมื่อคนกลุ่มนี้เห็นกิจเดินตามหลังมาห่าง ๆ ก็มองดูด้วยดวงตาระแวดระวังจับจ้องแต่ไม่มีใครพูดอะไรเพราะทางเส้นนี้ไม่ใช่ทางเฉพาะตัว ขอแค่ไม่สร้างปัญหาต่อกันโดยตรง จะเดินทางเส้นเดียวกันก็ไม่มีสาเหตุให้ต้องสร้างความขัดแย้งต่อกัน

กิจทิ้งระยะห่างจากคนกลุ่มหน้าประมาณสิบห้าเมตรถึงยี่สิบเมตรเพื่อสร้างความเป็นส่วนตัวระหว่างกัน เดินเงียบ ๆ รอคอยโอกาสที่จะได้ทำความรู้จักกับคนกลุ่มนี้