Chapter 3: กลมกลืน | Machinegun Mage
ความอึดอัดระหว่างกิจและคนกลุ่มนี้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ถ้าหากเราเดินซื้อของในห้างและทราบว่ามีคนเดินตามหลังในเส้นทางเดียวกันก็จะเกิดความรู้สึกอยากจะถามว่าเดินตามมาเพื่ออะไร แต่ในถนนเส้นทางเดียวที่ไม่มีตัวเลือกอื่น จะสร้างเรื่องกับคนที่ตามหลังมาก็กระไรอยู่ สุดท้ายแล้วความที่ต้องเลือกจุดหยั่งเท้าระหว่างก้าวเดินเหยียบก้อนหินก็เบี่ยงเบนความสนใจของพวกเขาจากกิจที่เดินตามหลังมา
ต้นไม้โดยรอบบางตาลงตามอัตราส่วนของก้อนหินที่เพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นโคกหินใหญ่เท่าบ้าน ก้อนหินใหญ่เท่ารถ หรือก้อนหินที่เล็กกว่าขนาดเท่าเก้าอี้ สิ่งที่ต้องระวังก็คือหินก้อนเล็กที่อาจจะพลิกทำให้เสียหลักถ้าหากเลือกใช้เป็นที่เหยียบ
เส้นทางเดินถูกบังคับตามสภาพภูมิประเทศเช่นช่องว่างระหว่างก้อนหินใหญ่ จุดที่พื้นหินเรียบไม่ขรุขระจนเกินไป ความสูงของก้อนหินที่ต่อเนื่องกันไม่สูงเกินไปจนต้องปีนหรือต่ำเกินไปทำให้ต้องหย่อนตัว กิจต้องซูมมองดูจุดที่คนกลุ่มหน้าใช้หยั่งเท้าพยุงตัวเพื่อที่จะติดตามไปได้โดยไม่ล้าช้าเพราะต้องเลือกหาที่ยืน
จนกระทั่งเดินทางมาถึงรอยแตกระหว่างก้อนหินใหญ่ซึ่งกว้างประมาณหกเมตร กว้างเกินว่าจะกระโดดข้าม ไม่ต้องพูดถึงสมาชิกในกลุ่มที่มีทั้งเด็กและคนวัยห้าสิบ บนช่องหว่างระหว่างหินใหญ่ทั้งสองมีไม้ยาวท่อนหนึ่งพาดผ่าน ดูจากสีของพื้นหินบริเวณติดกันแล้วบอกได้ว่าเคยมีท่อนไม้อีกหลายท่อนวางต่อกันเป็นสะพานข้าม แต่ไม่ทราบว่าหลุ่นร่วงลงไปในช่องแตกหรือผุกร่อนหักหายไป
“ตัดไม้ ทำสะพาน” ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำถอดกระเป๋าสะพายของตัวเองลง ชายคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน สามคนที่มีร่างกายกำยำถือขวานเดินย้อนผ่านหน้ากิจไปยังพื้นที่ต่ำกว่าด้านล่างซึ่งมีต้นไม้หลายต้น พวกเขาไม่ลืมที่จะมองดูกิจตั้งแต่หัวจรดเท้าแต่ไม่มีใครพูดอะไร ชายอีกสามคนที่เดินตามมาก็เช่นกัน
กิจมองดูพวกเขาช่วยกันตัดไม้ขนาดเท่าขาอยู่ห่าง ๆ เห็นว่าความเร็วในการตัดอยู่ในระดับคนธรรมดาที่แข็งแรง ไม่ถึงกับเชี่ยวชาญแต่ทำงานได้อย่างไม่ติดขัด เมื่อตัดสินใจได้ว่านี่เป็นโอกาสดีในการเข้าร่วมกลุ่มกิจจึงเดินเข้าไปหาจุดที่ไม้ล้มลงและช่วยชายคนหนึ่งแบกท่อนไม้ขึ้นบ่า
ชายผู้นั้นมองดูกิจแต่ไม่พูดอะไร ยกปลายท่อนไม้ด้านหนึ่งเดินนำหน้าไปยังจะวางสะพาน คนอื่น ๆ ช่วยกันตั้งไม้ขึ้นสูงและล้มไม้ข้ามพาดไปยังอีกฟากหนึ่ง
ชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำพยักหน้าให้กิจ การที่กิจเสนอตัวเข้าช่วยเช่นนี้จะสร้างความรู้สึกที่ดีเพราะคนที่ออกแรงตัดไม้ทำสะพานจะรู้สึกไม่ดีนักถ้าหากกิจยืนดูเฉย ๆ และใช้สะพานที่พวกเขาทำขึ้นโดยไม่ทำอะไรเลย
“น้องชื่ออะไร” ชายที่แบกท่อนไม้คู่กับกิจถาม
“ผมชื่อกิจครับ” กิจตอบด้วยภาษาลาดา
“สำเนียงแบบนี้เป็นคนเมืองหลวงใช่มั้ย พี่ชื่อ ซีวอน ”
กิจไม่ทราบว่าสำเนียงเขาเป็นสำเนียงคนเมืองหลวงหรือไม่เพราะนี่เป็นทักษะการพูดที่นาโนบอตของบัญชาให้มา แต่เขาใช้โอกาสนี้สร้างตัวตนที่เหมาะสมให้กับตัวเอง ในใจยังคิดว่าทำไมชื่ออีกฝ่ายคล้ายชื่อคนเกาหลี
“ผมจำไม่ได้ครับ แต่น้าผมเป็นคนเมืองหลวงที่พาผมมาอยู่บ้านนอกเพราะคนในเมืองไม่ชอบหน้าผมเท่าไหร่” กิจตอบ
“ไม่แปลก” ซีวอนหัวเราะหึ “คนในเมืองไม่เหมือนคนบ้านนอกเรา โดยเฉพาะพวกตระกูลออร่ามาสเตอร์ที่เห็นคนธรรมดาเหมือนชนชั้นล่าง แล้วน้าของน้องเป็นยังไง ไม่ได้มาด้วยรึไง”
“น้าผมกลับเข้าเมืองไปหาคนอื่น ๆ ครับ ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง” กิจตอบ คำตอบนี้ทำให้ซีวอนนิ่งเงียบไป ไม่ทราบว่าคิดถึงชะตากรรมของญาติที่ไม่มีอยู่จริงของกิจหรืออย่างไร
“มองในแง่ดีเข้าไว้ คนธรรมดามีโอกาสรอดมากกว่าออร่ามาสเตอร์ ยังไงก็อาจจะได้เจอกันในประเทศพาราฟิน คนนั้น ซีกัง หัวหน้าตระกูลซี” ซีวอนชี้ไปยังชายวัยกลางคนที่คุมการทำงานของคนอื่น ๆ และสอบถามสภาพของสมาชิกในครอบครัวที่ร่างกายอ่อนแอกว่า
“พี่ซีกังเป็นนายพรานเก่าที่เคยล่าสัตว์ในเขตชายแดนระหว่างประเทศลาดากับประเทศพาราฟิน ทางเส้นนี้พี่ซีกังเดินมาแล้วไม่รู้กี่ครั้ง น้องคิดถูกแล้วที่เลือกเดินตามพวกเรามา”
“ผมได้ยินพวกพี่คุยกันก็เลยตัดสินใจตามมา พวกพี่ดูจะรู้ทางดี ผมอยู่แต่ในบ้านไม่ค่อยรู้เรื่องนอกบ้านเท่าไหร่ ก็ต้องพึ่งพาคนที่ดูพึ่งพาได้ครับ” กิจหยอดคำยอแบบเนียน ๆ ผลก็คือซีวอนหัวเราะออกมาอย่างคนที่ไม่คิดอะไรซับซ้อน
“คนเราก็ต้องคิดหาทางเอาตัวรอด น้องเป็นโรคออร่าบกพร่องก็ต้องคิดมากกว่าคนทั่วไปหน่อย”
ซีวอนเป็นคนช่างพูด เขาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในประเทศลาดาให้กิจฟังอย่างไม่รู้จบ กิจได้ทราบว่าตระกูลซีในตอนแรกเป็นตระกูลนายพรานล่าสัตว์หาของป่า ต่อมาตั้งตัวได้จึงเปลี่ยนอาชีพเป็นผู้รับซื้อของป่าและนำไปขายต่อในเมืองทำกำไรจากส่วนต่าง ด้วยเหตุนี้เองทำให้พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับนักเก็บของป่าซึ่งเป็นโรคออร่าบกพร่อง
“จริง ๆ แล้วคนแบบน้องก็มีดีในตัวนะ พี่เคยได้ยินเกี่ยวกับนักเก็บของป่าที่เป็นโรคเดียวกับน้อง แต่เพราะเป็นโรคนี้เลยไม่กลัวพิษออร่า ทำให้หาของป่าในเขตอันตรายที่คนธรรมดาเข้าไปไม่ได้” ซีวอนพูดเกี่ยวกับนักเก็บของป่าที่เคยพูดกับคนในครอบครัวมาก่อน
“จริงเหรอพี่ แบบนี้ผมก็มีโอกาสทำงานเป็นนักเก็บของป่าใช่มั้ย ผมก็ยังคิดอยู่เลยว่าจะหางานอะไรทำ แต่ก่อนนี้ผมมีน้าแต่ตอนนี้ผมไม่มีใคร ถ้าเป็นงานที่ผมทำได้ก็ดีมากเลยครับ” กิจพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นคาดหวัง
“เดี๋ยวลองคุยกับพี่ซีกังดู พวกเราต้องไปตั้งตัวใหม่ในประเทศพาราฟิน บางทีอาจจะมีช่องทางให้น้องได้งาน” ซีวอนตอบ
การทำสะพานใหม่ใช้เวลาไม่นาน เมื่อใช้เชือกมัดท่อนไม้ให้ติดกันแน่นเพื่อหลีกเลี่ยงการพลิกหมุนจากด้านหนึ่งแล้วที่เหลือก็ไม่ใช่เรื่องยาก ซีวอนรับหน้าที่เดินข้ามสะพานเป็นคนแรกและมัดรวมท่อนไม้อีกด้านหนึ่งเข้าด้วยกันเป็นแพ สะพานไม้ข้ามรอยแยกก็พร้อมใช้งาน
เมื่อคนทั้งหมดข้ามสะพานมาแล้วกิจก็ถูกผนวกรวมตัวเข้ากับกลุ่มคนตระกูลซี เขาแบ่งกระเป๋าจากผู้หญิงในกลุ่มมาช่วยถือสองใบเพราะกระเป๋าที่เขาสะพายอยู่มีน้ำหนักน้อยที่สุด และการช่วยเหลืออีกฝ่ายก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เขาหลอมกลืนเข้ากับคนตระกูลซีได้ง่ายขึ้น
นอกจากซีวอนที่พูดเก่งคุยเก่งแล้ว ซีม่อน ชายหนุ่มอายุยี่สิบสี่ปี อ่อนกว่ากิจหนึ่งปีเป็นคนที่พูดคุยกับเขามากที่สุด ส่วนใหญ่แล้วเนื้อหาการพูดคุยจะเกี่ยวกับการใช้ชีวิตของคนที่เป็นโรคออร่าบกพร่อง กิจอาศัยน้าที่ไม่มีอยู่จริงเป็นโล่กั้น ปัดไปว่าทุกอย่างน้าเป็นคนจัดการให้ และเขาไม่ทราบอะไรเพราะถูกขังอยู่ในบ้านไม่ได้ติดต่อกับใคร ถ้าไม่ใช่ว่าน้าเดินทางกลับเข้าเมืองหลวงไปหาสมาชิกครอบครัวคนอื่น ๆ แล้วเขาก็คงไม่มีโอกาสได้ออกมาจากบ้าน
คนตระกูลซีมีความคิดตรงกันว่ากิจเป็นคนที่ถูกกีดกันจากคนในตระกูลและถูกกระทำเหมือนไม่มีตัวตน เพราะถ้าไม่ใช่เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีเหตุผลอื่นว่าทำไมกิจจึงไม่ทราบว่าตนเองเป็นคนของตระกูลใด นี่เป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คนในตระกูลออร่ามาสเตอร์ไม่ต้องการให้ตระกูลของตนแปดเปื้อนเพราะมีคนที่เป็นโรคออร่าบกพร่องในตระกูลของตน จึงปิดบังการคงอยู่ของสมาชิกในตระกูลคนนี้เอาไว้โดยส่งไปอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากบ้านหลัก ปล่อยให้เติบโตเงียบ ๆ โดยไม่สอนให้ทราบถึงชาติตระกูลของตน บางที “น้า” ที่กิจพูดถึงอาจจะเป็นเพียงลูกจ้างที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับกิจเลยด้วยซ้ำ
คนพิการในตระกูลออร่ามาสเตอร์มีสถานะต่างจากคนพิการในตระกูลคนธรรมดาอย่างเทียบกันไม่ได้
กิจอาศัยความช่างพูดของซีวอนและซีม่อนเก็บเกี่ยวข้อมูลของโลกนี้ให้มากที่สุด รอคอยเวลาพักแรมตอนค่ำเพื่อสอบถามเกี่ยวกับเตาไฟออร่าซึ่งเป็นช่องทางในการใช้พลังออร่าของเขา การที่มีกิจเข้าร่วมกลุ่มช่วยสร้างความแปลกใหม่บันเทิงให้กับคนตระกูลซี การเดินทางที่ดูหดหู่จึงมีสีสันมากกว่าเดิม
ตระกูลซีไม่ได้ทำอาหารกิจในตอนกลางวันเพราะไม่มีที่พักที่เหมาะสม จนกระทั่งบ่ายแก่ ๆ ซีกังจึงสั่งให้ขบวนหยุดพักเมื่อเดินทางมาถึงถ้ำซึ่งเป็นรอยแตกเข้าไปในภูเขา ในถ้ำมีร่องรอยการตั้งค่ายคือเสาไม้ที่ยึดติดกับผนังหินและรูปักหลักบนพื้น การตั้งกระโจมดำเนินไปอย่างราบรื่นไม่มีปัญหา ถึงแม้ว่าจะมีถ้ำเป็นช่องกั้นกันลมฝนแล้วแต่กระโจมก็ยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการป้องกันแมลง
“อากัง ยังไม่ค่ำเลย ทำไมถึงรีบตั้งค่ายล่ะ” ซีม่อนถามหัวหน้าครอบครัว
“จากตรงนี้ไปไม่มีที่พักระหว่างทางใกล้ ๆ บนภูเขามีออร่าลมเย็นพัดแรง จำเป็นต้องตั้งกระโจมในถ้ำ” ซีกังตอบหลังจากเดินสำรวจความปลอดภัยในถ้ำจนเสร็จเรียบร้อยแน่ใจว่าไม่มีแมลงหรือสัตว์อันตรายซ่อนอยู่ตามมุม
ซีม่อนพยักหน้าเข้าใจ เห็นได้ว่ามีประสบการณ์น้อยกว่าแต่มีความกล้าที่จะถามคำถาม กิจเลือกมุมหนึ่งของถ้ำไม่ไกลจากกระโจมนั่งลง เมื่อเห็นว่าพื้นหินมีความเย็นจึงเดินออกจากถ้ำเพื่อหาหญ้าแห้งใบไม้แห้งที่ยังพอหาได้มาปูรองนอน เมื่อกลับมาพร้อมหญ้าแห้งกอบใหญ่ก็ได้เห็นเตาไฟออร่าที่ซีวอนนำออกมาวางหน้ากระโจมเตรียมพร้อมสำหรับการทำอาหาร
“นี่คืออะไรครับ” กิจขยับมาใกล้ ๆ แล้วเอ่ยปากถามซีวอน
“ระวังอย่าแตะเตา คนที่ไม่มีพลังออร่าจะถูกออร่าไฟในเตาเผาเอา” ซีวอนตอบ มือเติมถ่านสีดำสนิทเข้าไปในช่องเตาที่ดูเหมือนกระถางธูปโลหะขนาดใหญ่เท่าถังน้ำหกลิตร หม้อทรงรีเหมือนซาลาเปาวางทับลงบนฝาเปิดด้านบนหลังจากที่ถ่านไฟในเตาติดไฟด้วยการทำงานของเตาโดยอัตโนมัติ
กิจมองดูเตาไฟออร่าด้วยความสนใจ แต่ซีวอนดูเหมือนจะไม่มีคำตอบให้กับเขาว่าเตาไฟออร่าคืออะไร
“พี่จะอธิบายให้ฟัง” ซีกังนั่งลงบนหินแบนใกล้ ๆ พร้อมกับถุงหนังใส่ของในมือ “สมัยก่อน มนุษย์เรายังกินอาหารดิบ ๆ แบบไม่ใช้ไฟปรุงให้สุก จนวันหนึ่งมีคนเห็นสัตว์ออร่าตายในไฟป่า พอเอาเนื้อสัตว์ที่ตายในไฟป่ามากินถึงได้รู้ว่าเนื้อที่ทำให้สุกด้วยไฟจะมีพลังออร่าที่บริสุทธิ์มากกว่าเนื้อดิบ แต่เนื้อสัตว์ออร่าที่ทำให้สุกด้วยไฟที่เผาจากไม้ยังมีความปนเปื้อนมากเพราะไฟจากไม้ฟืนสมัยก่อนมีออร่าหลายอย่างผสมอยู่ด้วย ถ่านที่ใช้ในเตาออร่าเป็นถ่านที่เผาเอาออร่าปนเปื้อนออกไปแล้ว ไฟจากถ่านที่เผาแล้วจะมีออร่าที่บริสุทธิ์มากกว่า พอเอามาทำอาหารแล้วอาหารก็จะมีความปนเปื้อนน้อย ออร่าไฟจากถ่านก็จะเผาเอาออร่าที่ไม่จำเป็นออกจากเนื้อสัตว์ออร่าหรือว่าวัตถุดิบอื่น ๆ เตาไฟออร่านอกจากจะเป็นตัวจุดไฟใส่ถ่านแล้วยังทำหน้าที่เป็นตัวกั้นไม่ให้ออร่าไฟจากถ่านกระจายออกไปนอกเตา แล้วก็ป้องกันไม่ให้ออร่านอกเตาไหลเข้ามาปนเปื้อนในเตา”
ซีกังเปิดฝาหม้อ รินน้ำจากกระบอกน้ำลงไปครึ่งหนึ่ง ประมาณสองลิตร ใส่เนื้อสัตว์ตากแห้งที่ภายนอกแข็งเหมือนตากแดดมาแล้วหลายแดด ตามด้วยผงสีน้ำตาล เมล็ดพืชขนาดเท่าเมล็ดงาหนึ่งหยิบ พืชหั่นแว่นที่มีลักษณะคล้ายหน่อไม้ตากแห้งหนึ่งกำมือ และจบด้วยเมล็ดพืชลักษณะคล้ายเมล็ดถั่วเหลืองแต่มีสีขาวเหมือนเมล็ดข้าวสามกำเต็ม ๆ
“หม้อต้มใบนี้เป็นหม้อพิเศษ ก้นหม้อจะนำออร่าไฟจากถ่านไฟข้างล่างได้ดี ฝาหม้อจะปล่อยให้ออร่าที่ไม่จำเป็นต่อร่างกายคนธรรมดาระเหยออกไปกับอากาศ พวกออร่าเย็น ออร่ากรด ออร่าพิษ แล้วก็พวกออร่าที่มีรสชาติแปลก ๆ ทำให้กินลำบากก็จะระเหยตามไอน้ำออร่าด้วย แต่ตัวหม้อจะเก็บออร่าที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเอาไว้ นี่เป็นหม้ออย่างดีราคาแพง ตระกูลซีมีหม้อใบนี้ใบเดียว ทำอาหารกินทั้งตระกูลสิบกว่าคน คนที่หนีตายมาครั้งนี้มีไม่มีกี่ครอบครัวที่มีของดีอย่างนี้ติดตัว”
กิจมองดูหม้อขนาดหนึ่งคนโอบด้วยความทึ่ง คิดไม่ถึงว่าหม้อใบเดียวจะมีกลไกความลับซ่อนอยู่ถึงขนาดนี้
“อาหารออร่ามีรสชาติยังไงครับ” เขาถาม
ซีม่อนและซีวอนมองดูกิจด้วยความประหลาดใจก่อนจะมองหน้ากันเองแล้วมองดูซีกัง ทั้งสองเองก็ไม่ทราบเช่นกันว่าจะอธิบายอย่างไร
“คนที่เป็นโรคออร่าบกพร่องจะขาดประสาทสัมผัสออร่า ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นออร่า สีออร่า เสียงออร่าหรือว่ารสชาติของออร่า ลิ้นของคนธรรมดาจะรับรสชาติของออร่าในอาหารได้ ถ้าหากเป็นออร่ามาสเตอร์ก็จะมีสัมผัสที่ละเอียดอ่อนมากเป็นพิเศษ หมายความว่าอาหารออร่าอย่างเดียวกันจะมีรสชาติไม่เหมือนกัน สำหรับน้องที่ร่างกายดูดซับออร่าไม่ได้ ต่อให้กินอาหารที่มีพลังออร่าสูงก็ไม่มีประโยชน์ น้องต้องกินอาหารชนิดอื่นที่มีสารอาหารสำหรับกล้ามเนื้อโดยเฉพาะ ความรู้เกี่ยวกับสารอาหารสำหรับกล้ามเนื้อพวกนี้สมาพันธ์ออร่ามีข้อมูลน้อยมาก สาเหตุน้องก็น่าจะเข้าใจดี”
กิจพยักหน้าเข้าใจ “ผมเข้าใจครับ ใครจะมาเสียเวลาศึกษาคนที่เป็นโรคออร่าบกพร่องอย่างผม”
“จะว่าไปแล้วนายกินอาหารแบบไหนเหรอ” ซีม่อนที่มองเห็นกิจเป็นคนระดับเดียวกันพูดด้วยการแทนตัวอย่างเพื่อนฝูง กิจไม่ทราบว่าภาษาลาดาต้นฉบับนั้นใช้คำแทนตัวอย่างไร แต่การแปลภาษาอัตโนมัติใช้คำว่า “นาย” กับ “เรา” แทนคำพูดของซีม่อน อาจจะเป็นเพราะว่ายังไม่สนิทมากจึงไม่ใช้คำว่า “กู มึง” ในขณะที่ซีวอนซึ่งมีอายุมากกว่าและมีฐานะเป็นญาติผู้ใหญ่ใช่คำกูมึงกับซีม่อนอย่างใกล้ชิด
เทียบกันแล้วซีวอนนับได้ว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องที่มีอายุมากกว่าของซีม่อน
กิจล้วงกระเป๋าแกะอาหารแท่งออกจากซองโดยไม่ให้ใครเห็น หยิบเอาอาหารอัดแท่งรสไก่บาร์บิคิวออกจากกระเป๋าให้คนอื่น ๆ ดู
“น้าผมเป็นคนเตรียมไว้ให้ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำจากอะไร”
ซีกังมองดูอาหารอัดแท่งที่เต็มไปด้วยธัญพืชที่ไม่เคยเห็นแล้วขมวดคิ้ว เขาสูดกลิ่นแล้วส่ายหน้าเพราะกลิ่นที่สัมผัสได้ไม่ใช่กลิ่นที่คุ้นเคย ทั้งยังเป็นกลิ่นฉุนที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด
“มึงลืมที่กูบอกแล้วรึไง อาหารของคนเป็นโรคออร่าบกพร่องอาจจะมีพิษออร่า กิจกินได้ แต่มึงกินไม่ได้” ซีวอนถลึงตาใส่ซีม่อนที่แสดงท่าทีอย่างจะทดลองชิมของแปลกตรงหน้าดูสักคำ เมื่อได้ยินคำเตือนจากซีวอนจึงยิ้มแห้ง ๆ พยายามละสายตาไม่จ้องดูอาหารในมือกิจ
“เกี่ยวกับงานเก็บของป่า เดี๋ยวพอไปถึงเมืองทรายเล็กแล้วพี่จะเช็คดูให้ น่าจะมีช่องทางให้น้องได้ทำงานหาเงินใช้อยู่ อาจจะไม่ใช่งานหาของป่าแต่พี่คิดว่ามีงานที่เหมาะสมสำหรับน้องกิจ” ซีกังกล่าวด้วยสีหน้านำเสียงครุ่นคิด
“ขอบคุณมากครับพี่” กิจยกมือข้างหนึ่งขึ้นเหยียดนิ้วจ่อปลายจมูก เหมือนคนพนมมือไหว้แบบใช้มือข้างเดียว นี่เป็นรูปแบบการแสดงความเคารพของคนที่นี่
“ไม่มีปัญหา พี่ไปตั้งตัวในเมืองทรายเหล็กครั้งนี้ก็ต้องหาช่องทางพิเศษที่ต่างจากงานของเจ้าถิ่น อย่างน้อยที่สุดก็คือไม่ไปแย่งงานเจ้าถิ่นมาทำ ได้น้องกิจมาร่วมงานด้วยก็ถือว่าได้ประโยชน์ทั้งสองทั้ง น้องกิจได้งาน พี่ได้ช่องทางทำงานพิเศษเพิ่ม”
การร่วมมือกับตระกูลซีในครั้งนี้ถือว่าเหนือความคาดหมายของกิจ แต่เขาเห็นว่านี่ไม่น่าจะมีปัญหา ก่อนที่เขาจะคิดทำอะไรอย่างอื่น ถ้าหากมีที่ยืนเหยียบตั้งหลักได้แล้วการคิดวางแผนทำอะไรต่อไปก็จะมีความยืดหยุ่นผ่อนคลายมากขึ้น
ซีม่อนชี้ให้กิจมองดูเหนือเตาว่าเห็นไอออร่าหรือไม่ แต่กิจต้องส่ายหน้าเพราะเขามองไม่เห็นไอออร่าที่ซีม่อนบรรยายว่าเป็นเหมือนไอน้ำ เขาไม่รู้สึกถึงกระแสออร่าที่ซีม่อนบอกว่าพัดกระจายออกมาจากหม้อทำให้คนรอบ ๆ รู้สึกอบอุ่นเลยด้วยซ้ำ
ความรู้สึกของกิจตอนนี้ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดจริง ๆ เหมือนกับว่าตนเองเดินกับเพื่อนแล้วเพื่อนชี้ใส่ที่ว่างข้างถนนถามว่าเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวตรงนี้ไหม ความคิดที่เกิดขึ้นก็คือว่า “มึงตั้งใจจะอำหลอกให้กูหลอนใช่มั้ย” เพราะไม่ว่าจะแหกตากว้างจ้องดูอย่างตั้งใจแค่ไหนก็มองไม่เห็นผู้หญิงชุดขาวที่อีกฝ่ายพูดถึง ยิ่งได้เห็นเพื่อนจิ๊ปากส่ายหน้าเหมือนจะพูดว่า “ทำไมแค่นี้ก็มองไม่เห็น” ยิ่งทำให้อารมณ์เดือดขึ้นมาจนอยากจะเตะปากเพื่อนให้ฟันร่วงสักซี่สองซี่แล้วหยิบขึ้นมาถามว่า “มึงเห็นฟันซี่นี้มั้ย”
หลังจากพูดคุยและกินอาหารร่วมกับคนตระกูลซีเรียบร้อยแล้วกิจก็แยกตัวออกมานั่งในมุมของตน เขายังไม่ใกล้ชิดกับคนตระกูลซีมากถึงขนาดที่จะแทรกตัวเข้าไปในช่วงเวลาส่วนตัวของคนในตระกูล ความที่ต้องทำงานพิเศษในหลาย ๆ ที่ทำให้เขามีความเข้าใจต่อสังคมมนุษย์เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงตั้งใจแยกตัวออกมาเพื่อความสบายใจของคนตระกูลซี
= วิเคราะห์และประมวลผลพลังออร่าเสร็จสิ้น เนื่องจากผู้ใช้มีร่างกายต่างจากคนทั่วไปจึงไม่สามารถควบคุมพลังออร่าด้วยจิตใต้สำนึกโดยอัตโนมัติอย่างเช่นผู้อื่น ดังนั้นสิ่งที่ผู้ใช้ทำได้ก็คือการควบคุมพลังออร่าด้วยเครื่องมือเป็นตัวกลาง เช่นเดียวกับการใช้เครื่องยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เหล่านี้เป็นต้น กรุณาเก็บข้อมูลเกี่ยวกับวัตถุดิบออร่าและกระบวนการออร่าเพิ่มเติมเพื่อออกแบบเครื่องมือในการแปรสภาพลังออร่ามาใช้งาน
กิจต้องยอมรับว่าเมื่อเห็นหน้าต่างข้อมูลโรงงานแล้วเขารู้สึกผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง เขาคิดว่าถ้าเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเตาไฟออร่าได้แล้วโรงงานจะออกแบบสร้างอุปกรณ์ออร่าให้กับเขาโดยตรง กลายเป็นว่าเขาต้องเก็บข้อมูลเพิ่มเติมอีก ความฝันที่จะได้ใช้พลังออร่าถูกเลื่อนออกไปทำให้เขาอดถอนหายใจไม่ได้
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาอ่านและฟังนิยายออนไลน์ที่ตัวเอกได้พลังมาอย่างง่ายดายมากจนเกิดไปจึงมีความคาดหวังสูง ถ้าหากเขาเป็นตัวเอกในนิยายก็คงเป็นตัวเอกประเภทที่ต้องดิ้นรนมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับตัวเอกพลังเทพทั้งหลาย เขาได้แต่หวังว่าชีวิตของเขาจะไม่รันทดปวดตับจนเกินไปนัก
เช้าวันต่อมา การเดินทางเริ่มต้นตั้งแต่ฟ้ายังมืดเพราะจุดที่พักจุดต่อไปอยู่ไกลและต้องใช้เวลาเดินจนถึงตอนมืด ระยะทางสิบห้ากิโลเมตรความจริงแล้วถ้าเดินด้วยเท้าเปล่าจะบรรลุได้ภายในวันเดียว แต่ภูมิประเทศที่เป็นภูเขาทำให้การเดินทางใช้เวลามากกว่า กิจเดินร่วมไปกับกลุ่มคนตระกูลซีโดยไม่แยกทิ้งระยะห่างเหมือนเมื่อวาน การพูดคุยในวันนี้ไม่ครึกครื้นเท่าเมื่อวาน คนส่วนใหญ่ใช้สมาธิกับการเดินมากขึ้นเพราะจุดอันตรายบนภูเขามีมากขึ้น
ซีกังทุ่มเทเวลาและความตั้งใจไปกับการดูแลความปลอดภัยของคนในตระกูลอย่างที่ผู้นำตระกูลต้องทำ การหยุดพักเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยในจุดอันตรายอย่างเช่นช่องทางใต้หินเอนหรือทางเลียบผามีอยู่เรื่อย ๆ แต่ไม่มีใครบ่นเพราะทุกคนทราบว่านี่เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเดินทางอย่างปลอดภัย
“ดูนั่น” ซีกังชี้ให้คนอื่น ๆ ดูบริเวณก้นเหวลึกเกือบยี่สิบเมตรที่เห็นได้จากทางเดินริมผา เมื่อมองลงไปกิจเห็นร่างผู้อพยพสองคนที่นอนแขนขาบิดเบี้ยวอยู่บนก้อนหินขรุขระก้นเหว “สองคนนี้คงจะเดินทางมาก่อน แต่คงจะลื่นแล้วดึงลากอีกคนหนึ่งตกเขาลงไปด้วยกัน เวลาก้าวเท้าให้ระวังด้วย”
กิจกลืนน้ำลายเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เห็นศพด้วยตาเปล่า ไม่นับศพในงานศพที่อยู่ในสภาพเหมือนคนนอนหลับ ศพคนทั้งสองเป็นศพคนตายโหงที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นบ่อยนัก ดวงตาเขาซูมจ้องมองดูอย่างไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาต้องตั้งสติมองสำรวจดูจุดอันตรายที่ทั้งสองพลาดท่าลื่นหล่นลงไป เมื่อเห็นรอยหินพลิกบนหน้าผาแล้วกิจก็ล็อคเป้าเอาไว้ พยายามเลี่ยงไม่เหยียบลงบนพื้นที่อันตรายตรงนี้
ที่พักจุดที่สองเป็นเพิงหินที่เกิดจากหินแบนใหญ่สองก้อนเอนพิงใส่กัน เนื่องจากได้เห็นศพคนตายทำให้การสนทนาในตอนค่ำไม่คึกคักเท่าไรนัก
การข่มตาให้หลับของกิจในวันนี้ต้องใช้ความพยายามมากเป็นพิเศษเพราะภาพคนตายทั้งสองโผล่ขึ้นมาในความคิดของกิจอยู่ร่ำไป แต่สุดท้ายความเมื่อยล้าก็ทำให้เขาหลับไปได้ในที่สุด
ซีกังบอกกับกิจว่าพรุ่งนี้ตอนประมาณเที่ยงก็จะพ้นเขตภูเขา การเดินทางจากภูเขาไปถึงเขตเมืองทรายเหล็กจะใช้เวลาช่วงบ่ายและทั้งหมดจะหยุดพักนอกเมืองทรายเหล็กในตอนเย็น หลังจากติดต่อกับคนในเมืองทรายเหล็กแล้วจึงค่อยว่ากันว่าจะทำอย่างไรต่อเพราะผู้อพยพที่เดินทางมายังเมืองทรายเหล็กนั้นมีมากมาย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ใช่เรื่องง่ายในสถานการณ์เช่นนี้