Funfic

Chapter 5: สร้างบ้าน | Machinegun Mage

2025-01-03

“พี่กังบอกว่าน้ำในแม่น้ำทรายเหล็กจะมีออร่าเหล็กผสมอยู่มาก แต่ออร่าเหล็กจะแยกออกจากน้ำง่ายกว่าออร่าแบบอื่น” ซีม่อนเล่าให้กิจฟังระหว่างที่ตักน้ำจากแม่น้ำส่งต่อให้กิจเทลงรถเข็นบุหนัง

“ถ้าคนธรรมดากินน้ำที่มีออร่าเหล็กเข้าไปมาก ๆ จะเป็นยังไง” กิจถาม

“ถ้ารับออร่าเหล็กเข้าตัวมากจนร่างกายขับออกไม่ทัน อย่างแรกคือจะไวต่อความร้อนความเย็น ถ้าเจอออร่าไฟตัวก็จะร้อนกว่าคนปกติ ถ้าเจอออร่าเย็นตัวก็จะเย็นกว่าปกติ ถ้าเป็นบ่อย ๆ เหล็กก็จะตกผลึกในตัว ถ้าตกผลึกในกล้ามเนื้อก็ไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าตกผลึกในเส้นเลือดก็อาจจะบาดเส้นเลือด หรือถ้าตกผลึกในสมองก็ทำให้ถึงตายได้ ในตัวคนธรรมดาจะมีออร่าเหล็กอยู่แต่ไม่มาก พี่ซีกังเคยบอกว่านอกจากเส้นออร่าในตัวแล้วออร่าเล็กยังมีแฝงอยู่ในเลือดด้วย ออร่าเหล็กเป็นออร่าอย่างเดียวที่มีอยู่ในเลือดตามธรรมชาติ”

เส้นออร่า นี่เป็นความรู้หนึ่งที่กิจได้รับจากการพูดคุยกับคนตระกูลซี นอกจากหัวใจซึ่งมีหน้าที่สูบฉีดเลือดตามปกติแล้วมนุษย์ในโลกนี้จะมีอวัยวะอีกอย่างหนึ่งในตำแหน่งคู่กับหัวใจ เรียกว่าแก่นออร่า ต่างจากหัวใจที่สูบฉีดเลือดตามจังหวะบีบอัด แก่นออร่าจะส่งออร่าให้ไหลไปตามเส้นออร่าในร่างกายเหมือนปั๊มน้ำที่ทำงานอยู่ตลอด เส้นออร่าที่เดินคู่ไปกับเส้นเลือดจะเชื่อมต่อกันเป็นวงจรปิดแทนที่จะแยกขยายแตกเป็นรากเส้นเลือดฝอยเหมือนเส้นเลือด

เช่นเดียวกับกิจที่ไม่มีความสามารถในการควบคุมการไหลเวียนของเลือด คนในโลกนี้ก็ไม่สามารถควบคุมการไหลเวียนของออร่า ยกเว้นแต่ออร่ามาสเตอร์ซึ่งมีความสามารถในการสั่งงานแก่นออร่าในตัว

“นายอยากเป็นออร่ามาสเตอร์มั้ย” กิจถาม

“ใครจะไม่อยากเป็น” ซีม่อนมองดูกิจเหมือนมองดูตัวประหลาด ก่อนจะเปลี่ยนสีหน้าเป็นลังเลเล็กน้อย “ที่จริงแล้วเป็นออร่ามาสเตอร์ระดับล่าง ๆ มันก็ไม่มีปัญหาหรอก ยังไงก็มีสถานะสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไป แต่ถ้าอยากจะพัฒนาเป็นออร่ามาสเตอร์ระดับสูงแล้วความเสี่ยงมันก็เยอะเหมือนกัน”

“ออร่ามาสเตอร์ที่วัดระดับกันยังไง” กิจเก็บข้อมูลต่อ

“ระดับแรกสุดก่อนที่จะเป็นออร่ามาสเตอร์ก็คือคนธรรมดาที่มีความสามารถในการสัมผัสออร่า ถ้าไม่มีความสามารถตัวนี้ ไม่ว่ายังไงก็ไปต่อไม่ได้ เราไม่เข้าใจเหมือนกัน นึกภาพไม่ออก ออร่าในตัวเราไหลไปตามเส้นออร่าก็จริง แต่มันไม่รู้สึกอะไรไง เหมือนไม่มีตัวตน ถ้ามันสัมผัสไม่ได้แล้วจะไปต่อยังไงล่ะ”

ซีม่อนแสดงอาการหงุดหงิดอับจนปัญญาอย่างเห็นได้ชัด

“พอสัมผัสได้แล้วก็เข้าโรงเรียนออร่า เรียนการควบคุมแก่นออร่าขั้นพื้นฐาน เรียกว่าขั้นอนุบาล คนที่อยู่ในระดับนี้จะฝึกการควบคุมแก่นออร่าในตัวอย่างเดียว พอควบคุมได้แล้วก็ขึ้นชั้นประถม มีหกขั้น ป.หนึ่ง ถึง ป.หก ขั้นประถมนี่จะเรียนการดูดออร่าเข้าตัว จบประถมแล้วก็ขึ้นชั้นมัธยม ม.หนึ่ง ถึง ม.หก ชั้นมัธยมจะเรียนการใช้งานออร่า พอเรียนถึงขั้นมัธยมจะมีหลักสูตรแยกกันไปแล้วแต่จะเลือก ที่เด่น ๆ ก็หลักสูตรนักเวท จอมยุทธ ยันต์มาสเตอร์ นายช่าง เชิดหุ่น พอเรียนจนม.หกก็เป็นออร่ามาสเตอร์สมัครเล่น ต้องจบมหาวิทยาลัยถึงจะเป็นออร่ามาสเตอร์เต็มตัว แต่หลักสูตรในมหาวิทยาลัยจะเน้นเจาะจงมากกว่า”

กิจอ้าปากค้าง มือที่ถือถังน้ำหยุดนิ่งเพราะคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินระบบการศึกษาภาคบังคับจากปากของคนในโลกแฟนตาซี เขาไม่แน่ใจว่านี่เป็นเพราะนาโนบอตแปลภาษาแบบแปลก ๆ หรือว่าความจริงก็เป็นเช่นนี้

“พอได้เป็นออร่ามาสเตอร์แบบเต็มตัวแล้วถ้าจะพัฒนาต่อก็ต้องทำงานหาของมายกระดับแก่นออร่าในตัว ตรงนี้แหละที่ยาก เพราะของที่ใช้ยกระดับความสามารถของออร่ามาสเตอร์ได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นของในตัวสัตว์ออร่า หรือไม่ก็สมบัติในป่าโบราณ หรือในที่ที่คนเข้าไม่ถึง ยังไม่มีใครเก็บเอาสมบัติพวกนั้นไป อาหารที่กินแต่ละวันก็ต้องเป็นอาหารบำรุงออร่า ไม่งั้นแก่นออร่าก็อาจจะเสื่อมเพราะไม่ได้ใช้งาน”

ความเข้าใจของกิจเกี่ยวกับออร่ามีเพิ่มมากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ด้วยความรู้นี้ โรงงานในตัวเขาก็จะมีโอกาสในการสร้างอุปกรณ์ออร่าให้กับเขาเพิ่มมากขึ้น

“แล้ว ... ไม่มีพวกออร่ามาสเตอร์ที่ปล้นของจากออร่ามาสเตอร์คนอื่นเหรอ” กิจถาม

“มี ทำไมจะไม่มี แต่นักล่าเงินรางวัลมีมากกว่า ถ้าไม่ใช่คนที่มีความสามารถจริง ๆ แล้วต่อให้ปล้นเอาสมบัติไปได้ก็หนีไม่รอด แต่คนชั่วที่เก่งมาก ๆ ก็เหมือนภัยธรรมชาติ ถ้าเจอก็คือซวยเพราะทำอะไรไม่ได้ ในโลกนี้ เส้นสายของออร่ามาสเตอร์มันพันกันเหมือนก้อนม้วนด้าย นายดึงด้ายเส้นเดียวแต่ด้านเส้นอื่นที่พันกันอยู่เป็นปมก็ถูกดึงติดมาด้วย ยิ่งดึงแรงมาก ปมก็แน่นมาก”

กิจส่งถังน้ำให้ซีม่อนแล้วปรบมือให้ เขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำอุปมาอุปไมยที่เห็นภาพได้ชัดเจนเช่นนี้จากปากของซีม่อน

“พี่ซีกังพูดให้ฟัง” ซีม่อนพูดหน้าตาย

“อ้าว” กิจอ้าปากหวอ รู้สึกเสียดายแรงที่ใช้ปรบมือ

ทั้งสองตักน้ำใส่รถเข็นจนเต็มแล้วช่วยกันเข็นย้อนกลับไปยังที่พัก รถเข็นที่คลอนไปมากลับกลายเป็นติดพื้นแนบแน่นมั่นคง เหมือนกับว่าน้ำหนักของน้ำเป็นตัวดึงให้ชิ้นส่วนต่าง ๆ ในรถเข็นรัดติดเข้าด้วยกัน

เมื่อกลับมาถึงข้างกระโจม ซีวอนหยิบเอาก้อนโลหะสีเข้มออกมาจากในกระโจม หย่อนก้อนโลหะขนาดเท่ากำปั้นลงในกระบะน้ำ

“ตะกอนเหล็กหนัก ใช้ดูดออร่าเหล็กออกจากนั้น วางไว้ประมาณหนึ่งคืนก็ดูดออร่างเหล็กจากน้ำกระบะนี้ได้หมด” ซีวอนอธิบายโดยไม่รอให้กิจถาม “แต่น้องเป็นโรคออร่าบกพร่อง ต่อให้กินน้ำดิบก็ไม่มีปัญหา ถ้าจะใช้ก็มาตักเอาได้”

กิจมองดูน้ำที่ดูเหมือนจะใสแต่ยังเห็นเศษพืชน้ำลอยไปมา คิดว่าคงจะดื่มแบบสด ๆ ไม่ได้ อย่างน้อยก็ต้องต้มฆ่าเชื้อหรือสิ่งมีชีวิตเล็ก ๆ ที่อาจจะมีในน้ำเสียก่อน

“ถ้างั้นผมขอตัวไปเตรียมที่พักก่อนนะครับ” กิจขอตัวแยกออกมาและเลือกพื้นที่สำหรับสร้างบ้าน แน่นอนว่าเขาต้องเลือกพื้นที่ห่างจากป่าเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย หากแต่เลือกจุดที่ไกลจากกระโจมตระกูลซีคือขอบหนึ่งของเขตที่ดิน เขาเริมจากการเก็บหินมาเรียงกันเป็นพื้นโดยใช้หินก้อนใหญ่เป็นขอบกั้น จากนั้นใช้หินก้อนที่เล็กกว่าวางกดโดยเลือกให้ได้มุมและขนาดที่สอดใส่ซ้อนกันได้พอดี

ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก็ปูพื้นหินขนาดสองคูณสามเมตรได้สำเร็จ ตามด้วยการเก็บใบไม้แห้งและหญ้าแห้งมาวางปูทับอีกขั้นหนึ่ง ห่างออกจากพื้นหินปูประมาณสามเมตรเขาเรียงหินซึ่งมีลักษณะเป็นแผ่นซ้อนกันทำเป็นเตาถ่านแบบพื้น ๆ ใช้ดินแปะอัดกันลมพัด เหลือช่องให้ลมเข้าด้านล่างและช่องเปิดเปลวไฟด้านบน

ได้ที่นอนและเตาไฟแล้วจึงเข้าป่าเดินไล่เก็บไม้แห้งสำหรับเป็นฟืนและไม้ท่อนยาวสำหรับทำเพิงที่พักชั่วคราว คนตระกูลซีมองดูกิจทำงานแต่ไม่ได้เข้ามาช่วยเพราะงานของตนหนักยิ่งกว่า การสร้างบ้านเป็นที่พักสำหรับคนสิบกว่าคนไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ แต่ซีวอนถือมีดพร้ายาวหนึ่งศอกมาวางพิงเตาหินให้กิจได้ใช้งานซึ่งกิจรู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่ง

มีดเล่มเดียวใช้ได้ทั้งตัด ฝาน สับ ขุด กิจที่มีความเคยชินกับการใช้เครื่องมือช่างทำงานอย่างรวดเร็วโดยที่ไม่รู้ตัวว่าซีกังจับจ้องมองด้วยสายคาครุ่นคิด ความคิดในหัวของกิจตอนนี้มีแต่ความเพลิดเพลินจากการสร้างบ้านหลังแรกด้วยมือของตัวเอง ถึงแม้จะเป็นเพียงเพิงพักเตี้ยที่ยืนไม่ได้ก็ตามที ในระหว่างตอนที่ตัดไม้มุงเป็นเพิงกิจพบความสามารถของโรงงานในตัวอีกอย่างหนึ่งคือดวงตาที่สามารถวัดระดับความเรียบของพื้นผิว ทำให้เขาสามารถถากไม้ให้เป็นแผ่นเรียบโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเข้าช่วย เพียงแต่ต้องใช้ทักษะในการควบคุมมีดอย่างตั้งใจมากขึ้น ถึงแม้ว่าจะทำงานออกมาได้ไม่ดีนัก แต่ดีกว่าการถากไม้ด้วยตาเปล่ามาก

เพิงทรงจั่วเหมือนวางหลังคาบ้านลงกับพื้นใช้เวลาทำไม่นานเพราะนี่เป็นเพิงเล็ก ๆ ตัวเพิงเองก็ยังไม่ได้มุงหลังคากันฝน ดังนั้นกิจจึงทำเพิงที่พักเสร็จตั้งแต่บ่ายแก่ ๆ

เมื่อเขาติดไฟในเตาลุกเป็นเปลวด้วยการขูดไม้แห้งได้สำเร็จนั่นเองที่คนตระกูลซีให้ความสนใจมากขึ้น ซีวอนและซีม่อนเดินมาดูใกล้ ๆ แต่ทิ้งระยะห่างจากกองไฟประมาณสองเมตร เมื่อเห็นกิจย่างหินก้อนเท่ากำปั้นหลายก้อนบนเตาจึงถามด้วยความประหลาดใจ

“นายกินหินด้วยเหรอ”

ถ้าหากเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก ๆ ถามแบบนี้กิจก็คงจะพูดว่า “พ่อมึงสิกินหิน” แต่ปากเขาบอกเหตุผลให้ฟังโดยดี “พอหินร้อนแล้วก็เอาใส่น้ำ ต้มน้ำให้เดือด ฆ่าเชื้อ ... ฆ่าแมลงตัวเล็ก ๆ ในน้ำ”

ซีวอนมองดูถังใส่น้ำที่วางอยู่ใกล้ ๆ แล้วเบิกตาโต “เออ ฉลาดว่ะ ปิ้งหินให้ร้อน พอใส่หินร้อน ๆ ลงน้ำ น้ำก็เดือด คิดได้ไงวะ”

ทั้งซีวอนและซีม่อนเดินอ้อมหลบกองไฟทำให้กิจต้องถามว่า “มันร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ”

ทั้งสองพยักหน้าพร้อม ๆ กัน

“ไฟจากไม้ฟืนแบบนี้มีออร่าปนเปื้อนหลายอย่างมาก ไม่ใช่แค่ร้อนอย่างเดียว ทั้งแสบ ทั้งคัน วูบ ๆ วาบ ๆ บอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าคนสมัยโบราณกินอาหารที่ปรุงด้วยไฟแบบนี้ได้ยังไง” ซีม่อนเหลือบมองดูกองไฟที่อยู่ห่างไปมากกว่าสองเมตรด้วยสีหน้าขยาด

ในขณะที่กิจประหลาดใจเพราะตัวเองไม่รู้สึกร้อน ซีม่อนและซีวอนก็ประหลาดใจเมื่อเห็นกิจไม่แสดงอาการผิดปกติแม้จะนั่งติดกองไฟ ทั้งสองมองดูกิจคีบหินร้อนใส่ถังน้ำมองดูไอน้ำพุ่งจากถังที่เต็มไปด้วยหินเผาไฟหลายก้อน สีของน้ำจะขุ่นกว่าเดิมแต่กิจทราบว่าถ้ารอให้ฝุ่นตกตะกอนและกรองด้วยผ้าแล้วก็ใช้ดื่มได้อย่างไม่มีปัญหา เว้นแต่ว่าหินที่เขาใช้ต้มน้ำจะมีสารพิษ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็คือว่าเป็นความซวยเพราะเขาคงทำอะไรไม่ได้

“พรุ่งนี้พี่ซีกังกับพวกเราสองคนจะเข้าป่าไปดูจุดพักนายพราน คงพานายไปด้วยไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าจะเจออะไรระหว่างทาง แต่ขากลับน่าจะรู้ว่านายจะต้องทำงานอะไรบ้าง” ซีม่อนพูดถึงสิ่งที่ซีกังบอก

“ขอบใจมากที่มาบอก” กิจยิ้ม ส่งอาหารอัดแท่งรสธัญพืชผสมน้ำผึ้งแบบแกะแล้วให้อีกฝ่าย เผื่อว่าซีม่อนอยากจะลองชิมดู

ซีม่อนดมกลิ่นอาหารอัดแท่งแล้วหัวคิ้วขมวดติดกัน ทำสีหน้าอธิบายไม่ถูก

“มันไม่มีกลิ่นอะไรนะ” เขาใช้ลิ้นแตะ ๆ ชิมดูแล้วเอียงคอ “รสชาติก็ ... บอกไม่ถูกว่ะ แต่ไม่มีออร่าแน่ ๆ ... ไม่กล้ากินว่ะ” สุดท้ายแล้วซีม่อนก็ส่งอาหารอัดแท่งคืนมา กิจหักแบ่งปลายส่วนที่ซีม่อนทดลองชิมออกกินส่วนที่เหลือ รสชาติที่ได้รับก็ยังชัดเจนคือ หวาน หอม มัน กรอบ

“รสชาติเป็นยังไง” ซีม่อนถาม

“หวาน หอม กรอบ” กิจตอบ

“ประหลาด แปลกประหลาด” ซีม่อนส่ายหน้า

คนทั้งสามพูดคุยกันอีกเล็กน้อยซีม่อนจึงขอตัวลากลับไปยังกระโจมพร้อมกับซีวอน ปล่อยให้กิจนั่งผิงไฟมองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและดวงจันทร์สองดวง เสียงแมลงในป่าดังมาถึงจุดที่เขานั่ง สร้างบรรยากาศที่ไม่ได้สัมผัสเป็นเวลานาน

ในระหว่างการเดินทางหลายวันที่ผ่านมา สติของกิจอยู่ในสภาพตึงเครียดจึงไม่สามารถสัมผัสรับความสงบจากสิ่งแวดล้อมไร้มลพิษทางแสงและเสียง คืนนี้เป็นคืนแรกที่ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เขานอนหลับสนิทอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนับตั้งแต่เดินทางมาถึงโลกใบนี้

-+-+-+-+-+-

เมื่อตื่นขึ้นมาในตอนเช้ากิจก็เต็มไปด้วยความสดชื่น เขาล้างหน้าและกรอกน้ำที่ต้มแล้วใส่ขวดน้ำพร้อมใช้ วันนี้เขาตั้งใจที่จะทำส้วมให้เป็นที่เป็นทางและปรับปรุงที่อยู่อาศัยให้ดีขึ้น ไม้ยาวที่เหลาให้แบนโค้งเป็นใบเสียมเมื่อนำมาเผาและขัดปลายให้ดีแล้วก็แข็งพอที่จะใช้ขุดดินในบริเวณนี้ที่ไม่แน่นจนเกินไปได้ ข้อดีของดินในเขตป่าใกล้แม่น้ำก็คือความร่วนของดินที่เกิดจากการทับถมของใบไม้ในป่า ถึงแม้ว่าตัวป่าจะถูกตัดจนเหลือแต่ตอแล้วแต่ดินก็ยังคงความสมบูรณ์เอาไว้ได้

ยังไม่ทันจะได้ลงมือทำอะไร ซีกังและคนแปลกหน้าในชุดเครื่องแบบสองคนก็เดินมาหากิจที่เพิ่งจะกินเข้าเช้าเสร็จ

“อืม ไม่มีออร่าในตัว” ชายในเครื่องแบบคนหนึ่งพูดหลังจากคลี่พัดกางขึ้นบังตา พัดทรงจีนแบบพับได้มีสีขาวปลอดไม่ทราบว่าเป็นเครื่องมือของวิเศษอันใดจึงตรวจจับออร่าในตัวกิจได้

ชายอีกคนหนึ่งคลี่ม้วนกระดาษขนาดใกล้เคียงกระดาษ A4 ออกมาจ่อหน้ากิจอึดใจหนึ่ง จากนั้นจึงพลิกกลับให้กิจเห็นว่าบนแผ่นกระดาษอีกด้านมีรูปภาพของเขาวาดไว้เหมือนภาพถ่ายขาวดำ นี่ก็คงเป็นอุปกรณ์ออร่าสำหรับบันทึกภาพ

ชายผู้นี้หยิบเอาตลับหมึกออกมาจากกระเป๋า เปิดฝาพูดด้วยภาษาพาราฟินให้กิจประทับลายนิ้วมือลงบนรูปภาพ

ซีกังและชายในเครื่องแบบอีกคนหนึ่งแสดงอาการประหลาดใจเมื่อเห็นว่ากิจทำตามคำสั่งได้โดยไม่ต้องอาศัยล่ามแปล

“น้องพูดภาษาพาราฟินได้เหรอ” ซีกังถาม เขาไม่ทราบมาก่อนว่ากิจสามารถพูดได้สองภาษา

“ครับ พูดได้ ฟังรู้เรื่อง แต่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้” กิจบอกจุดด้อยของตนให้ซีกังทราบ

“ถ้าพูดคุยกันรู้เรื่องแบบนี้ก็ไม่ยาก นี่เป็นตราประจำตัวประชาชนชั่วคราวสำหรับผู้อพยพ พกติดตัวไว้ตลอดเวลา” ชายคนที่สองซึ่งรับผิดชอบการพิมพ์ลายนิ้วมือและพิมพ์ภาพเหมือนกิจส่งแผ่นป้ายไม้แกะสลักขนาดเท่าฝ่ามือให้กิจ ตัวป้ายมีชื่อของกิจ หมายเลขประจำตัว ภาพนูนต่ำแกะสลัก รายละเอียดรวมถึงที่อยู่อาศัย ด้านบนสุดของป้ายเป็นทรงจั่วเจาะรูให้สามารถร้อยเชือกแขนติดตัวได้

“ขอบคุณครับ” กิจไหว้มือเดียวแสดงความขอบคุณซึ่งเจ้าหน้าที่ทั้งสองคนก็พยักหน้ารับทราบ

“เรียบร้อยแล้วนะครับ คนที่มีป้ายประจำตัวจะเข้าออกเมืองได้จนถึงหกโมงเย็น เฉพาะชาวพาราฟินจะเข้าออกเมืองได้ถึงสองทุ่ม คนที่ไม่มีป้ายจะต้องทำเรื่องขออนุญาตที่หน้าเมืองและเข้าออกได้ไม่เกินสี่โมงเย็น” เจ้าหน้าที่บอกกับซีกังและเดินจากไป

ซีกังมองหน้ากิจและนิ่งเงียบเหมือนพยายามใช้ความคิดก่อนจะล้วงกระเป๋ามอบเงินให้ ตัวเงินเป็นเหรียญโลหะสะท้อนแสงเป็นประกายเหมือนดาวบนฟ้าในตอนกลางคืน บนเหรียญมีลวดลายแปลกประหลาด เหรียญทั้งหมดมีรูตรงกลางสามารถใช้ร้อยเชือกได้

“นี่เป็นเงินที่ใช้ในประเทศพาราฟิน เหรียญนี้หนึ่งบาท เหรียญนี้ห้าบาท เหรียญนี้สิบบาท” ไม่เพียงแต่จะชี้อธิบายจำนวนเงินให้กิจทีละเหรียญ ซีกังยังใช้ถ่านที่เหลือในเตาไฟของกิจเขียนลงบนหินเป็นตัวเลขภาษาพาราฟินตั้งแต่หนึ่งถึงสิบ ถึงร้อย พันหมื่นแสนล้าน สอนให้เขารู้จักการนับเลขในภาษาพาราฟินอย่างง่าย ๆ

“พี่จะหาหนังสือเรียนภาษาพาราฟินมาให้น้องเรียน ซีม่อนพูดอ่านภาษาพาราฟินเป็น ถ้ามีเวลาว่างพี่จะใช้ให้ซีม่อนมาช่วยสอน เงินนี่พี่ให้ไว้ใช้ก่อน น้องทำงานได้เงินแล้วค่อยแบ่งคืนให้พี่ทีหลัง”

“ขอบคุณพี่ซีกังมากครับ” กิจไหว้และกล่าวขอบคุณจากใจจริง

“ไม่ต้องคิดมาก ถ้าน้องกิจรู้หนังสือก็จะช่วยงานพี่ได้มากขึ้น เดี๋ยวพี่กลับมาแล้วจะบอกว่างานน้องคืออะไร ตอนนี้ต้องไปดูที่ดูทางก่อน อาจจะใช้เวลาสามสี่วัน ตอนนี้ก็เตรียมที่พักไปก่อน”

กิจโบกมือลาซีม่อน ซีวอนและซีกังซึ่งสะพายกระเป๋าเดินเข้าป่ามุ่งหน้าไปยังจุดรวมตัวของนายพรานลึกเข้าไปในป่า เริ่มต้นทำตามแผนที่วางไว้

เงินที่ซีกังให้ไว้นับรวมกันได้หนึ่งร้อยบาท เสียงที่เขาฟังจากคำพูดของซีกังนั้นไม่ใช่คำว่า “บาท” แต่ภาษาที่แปลได้แปลเป็นคำว่าบาทแบบตรง ๆ เขาพอจะทราบราคาอาหารในเมืองทรายเหล็กแห่งนี้จากปากของซีม่อน อาหารจานเดียวแบบที่กินอิ่มได้หนึ่งมื้อมีราคาสิบบาท เงินหนึ่งร้อยบาทนี้เป็นค่าแรงมาตรฐานของคนงานในเมืองสองวัน ถ้าหากซื้อวัตถุดิบมาปรุงอาหารเองจะเสียเงินน้อยกว่านี้

กิจคิดลังเลว่าจะเข้าไปสำรวจเดินดูในเมืองดีหรือไม่ เมื่อวานนี้เขาถามซีม่อนและซีวอนแล้วได้ใจความว่าต่อให้เขาเป็นโรคออร่าบกพร่อง อย่างมากคนก็เดินหลีกหนีห่าง แต่พ่อค้าจะขายของให้ตามปกติและสามารถใช้บริการอื่น ๆ ในเมืองได้อย่างไม่มีปัญหา ซีวอนให้คำเปรียบเทียบว่าตัวเขาก็ไม่ต่างจากคนตัวเหม็นกลิ่นตัวแรง เพราะไม่เคยมีเรื่องเล่าข่าวลือมาก่อนว่าโรคออร่าบกพร่องนี้เป็นโรคติดต่อ ที่จริงแล้วต้องบอกว่านี่เป็นความพิการ ไม่ใช่โรคร้าย

สำหรับเรื่องที่ว่าจะมีคนมาหาเรื่องดูถูก ซีวอนและซีม่อนได้ยินแล้วก็หัวเราะ ทั้งสองบอกว่าคนที่ทำเช่นนี้มีแต่คนเสียสติ นี่เป็นเรื่องต่ำช้าเสียศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครอยากจะเสียเวลาลดตัวลงทำ กิจได้แต่คิดว่านี่คงเป็นความแตกต่างทางวัฒนธรรม สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในนิยายจีนไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นในสังคมอื่น

การใช้เวลาหมกมุ่นในสิ่งแวดล้อมเฉพาะอย่างมากเกินไปเป็นสาเหตุให้มุมมองและสีสันความเป็นไปของโลกภายนอกเปลี่ยนแปลง

สุดท้ายแล้วกิจตัดสินใจว่าจะทำห้องส้วมให้เสร็จก่อน จากนั้นจึงคิดหาแหล่งอาหารอย่างเช่นการจับปลา ถ้ามีเวลาเหลือมากก็อาจจะเข้าเมืองไปสำรวจดูร้านค้าสิ่งของ

คิดได้เช่นนั้นกิจจึงเริ่มต้นออกแรงขุดหลุมในจุดที่ห่างจากบ้านไปยี่สิบเมตร ส้วมหลุมเช่นนี้มีกลิ่นแรง ถ้าหากไม่สร้างให้ไกลบ้านแล้วเวลาลมพัดเข้าบ้านก็จะเหม็นรำคาญ เขายังไม่มีความสามารถถึงขั้นที่จะทำส้วมนั่งราดน้ำได้ด้วยตัวเอง

ในระหว่างที่ขุดหลุม กิจต้องหยุดพักและหยิบก้อนหินใต้ดินที่ขุดได้โยนไปกองรวมกัน พื้นที่ริมเขานั้นเต็มไปด้วยก้อนหินในระดับที่ว่าขุดลงไปตรงไหนก็ต้องเจอ การขุดหลุมเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ในระดับความลึกไม่ถึงเข่าเขาสามารถใช้เสียมโยนดินห่างจากหลุมได้ แต่เมื่อความลึกของหลุมมีมากขึ้น การใช้เสียมโยนดินก็ทำได้ลำบากเพราะระดับความชันของด้ามเสียมที่มีมากจนดินร่วงหล่นจากใบเสียม กิจต้องเดินเข้าป่าค้นหาเครือไม้อย่างระมัดระวังโดยพยายามหลีกเลี่ยงไม้หนาม เมื่อได้เครือไม้ขนาดเท่าตะเกียบเขาก็นำมาสานเป็นบุ้งกี๋อย่างที่เคยทำมาก่อนในสมัยเด็ก

เสียมขุดดินใส่บุ้งกี๋ ยกบุ้งกี๋ขึ้นจากก้นหลุม เทดินห่างออกไปจากหลุม เขาใช้เวลาจนถึงเที่ยงจึงขุดหลุมลึกเมตรครึ่งได้สำเร็จ

เมื่อได้หลุมแล้วสิ่งที่ทำเป็นลำดับต่อไปก็คือการนำไม้มาวางพาดปากหลุมเรียงกันเป็นฝาปิด จากนั้นจึงใช้ไม้วางพาดทับอีกชั้นหนึ่งในด้านขวางไม้ชั้นแรก เหลือช่องว่างตรงกลางเอาไว้สำหรับรับกากอาหาร ปลายท่อนไม้ขนาดเล็กที่พาดทับบริเวณขอบหลุ่มจะถูกวางทับด้วยก้อนหินอย่างแน่นหนา กลบทับหินด้วยดินอีกต่อเพื่อป้องกันไม่ให้หินกลิ้งไปมา ฝาปิดช่องถ่ายทำจากเครือไม้สานอย่างแน่นหนาพร้อมหูจับ สามารถยกเปิดตอนใช้งานและปิดกันกลิ่นเมื่อใช้เสร็จ

ต่อจากนั้นจึงเป็นการขุดหลุมปักเสาไม้ มัดผูกวางคาน มัดโครงหลังคา มุงด้วยใบไม้แห้งขนาดใหญ่หลายชั้นทบกันเหมือนเกล็ดปลา วางทับด้วยไม้และก้อนหินก้อนเล็กโดยไม่กลัวว่าคานจะหักเพราะตัวคานใช้ไม้ลำใหญ่เท่าข้อเท้าหลายลำ ฝาผนังทำจากท่อนไม้ขนาดเล็กเรียวยาวปักลงดินและสานเป็นตาราง จากนั้นสอดใบไม้แห้งคั่นกลางและใช้ซี่ไม้ขับทับด้านนอกอีกชั้น

สำหรับประตู กิจสานกิ่งไม้และใบไม้แห้งเป็นแผ่นตารางเช่นเดียวกับผนัง เมื่อจะเปิดก็ยกออกตรง ๆ ยามจะปิดก็วางปิดช่องว่างระหว่างผนังและคล้องหูจับภายในกับห่วงประตูที่ทำเอาไว้ ความแข็งแรงมีไม่มากนัก แต่นี่เป็นการทำผนังกั้นเพื่อบังสายตายามปลดหนัก

มองดูดวงตะวันที่คล้อยลงจนเกือบจะถึงเส้นขอบฟ้าแล้วกิจไม่อยากจะเชื่อว่าเขาใช้เวลาทั้งวันเพื่อทำส้วมหลุม แต่อย่างน้อยวันนี้เขาก็ปลดทุกข์ได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะมีคนโผล่มาขัดจังหวะ เขาไม่อยากจะเชื่อว่าการสร้างส้วมหลุมหลังนี้จะทำให้เขารู้สึกอิ่มเอิบพึงพอใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ